แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การจัดการข้อมูลในเอ็กเซล แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การจัดการข้อมูลในเอ็กเซล แสดงบทความทั้งหมด

2 วิธีใช้สร้างผลรวมย่อย (Subtotal) ในโปรแกรม Excel

ฟังก์ชั่นในโปรแกรม Excel หนึ่งที่หลายคนรู้จักคงจะไม่พ้นฟังก์ชั่นที่เกี่ยวกับการหาผลรวมแน่นอน ซึ่งก่อนหน้านี้ เราได้อธิบายอย่าง การหาผลรวมด้วย SUM() / SUMIF() / SUMIFS ใน Excel หรือ SUBPRODUCT() ใช้ในการหาผลรวมของคอลัมน์ตั้งแต่ 2 คอลัมน์คูณกัน 

ในบทความนี้ เราเสนอตัวอย่างการนำ SUBTOTAL Function มาช่วยลดขั้นตอนการทำงานของคุณ ๆ ว่าแล้วเข้าเรื่องสักที่ดีกว่านะคะ 😉😉😉

SUBTOTAL Function
หมายถึง ฟังก์ชั่นที่ช่วยคำนวณเซลล์ย่อย ๆ ของผลรวมในตาราง โดยมีการทำอยู่ 2 แบบ ดังนี้

ไวยากรณ์


=Subtotal(function_num, ref1, [ref2], ...)

หลักการ
  • function_num คือ คุณต้องระบุตัวเลข ซึ่งมี 2 แบบ คือ 1-11 และ 101-111 เพื่อคืนค่าตาม Function ที่ต้องการ โดยเงื่อนไขในการกำหนดอยู่ในตารางที่ 1 
  • ref1, [ref2], ... คือ คุณระบุเลข 1-254 การอ้างอิงเพื่อให้ฟังก์ชั่นหาผลรวมย่อยของข้อมูล
ตารางที่ 1 แสดงความหมายของตัวเลขใน Function_num 

Functionคำนวณค่าที่ซ่อนไม่คำนวณค่าที่ซ่อน
AVERAGE1101
COUNT2102
COUNTA3103
MAX4104
MIN5105
PRODUCT6106
STDEV7107
STDEVP8108
SUM9109
VAR10110
VARP11111
หมายเหตุ

  • ในตาราง Function แต่ละเลข (เช่น 1 กับ 101 / 2 กับ 102 / ...) จะถูกจับคู่ไว้อยู่แล้ว เมื่อคุณเลือก
  • Function_num เป็นค่าระหว่าง 1-11 ฟังก์ชั่น SUBTOTAL จะคำนวณตัวเลขทุกตัว แม้ว่าตัวเลขจะถูกซ่อนไว้
  • Function_num เป็นค่าระหว่าง 101-111 ฟังก์ชั่น SUBTOTAL จะ ไม่ นำตัวเลขที่ถูกซ่อนไว้มาคำนวณ
  • แต่ถ้าคุณทำการกรองข้อมูลด้วย Autofilter แล้วฟังก์ชั่น SUBTOTAL จะไม่สนใจว่าคุณกำหนด Function_Num เป็นอะไร มันจะ ไม่ นำค่าในตารางที่คุณกรองข้อมูลนั้นมาคำนวณเด็ดขาด
  • ฟังก์ชั่น SUBTOTAL จะสามารถทำงานตามที่บอกไว้กับข้อมูลแนวตั้ง แต่ถ้าข้อมูลเป็นลักษณะแนวนอน (Horizontal) ฟังก์ชั่น SUBTOTAL จะนำค่าที่ซ่อนไว้มารวมด้วย


ตัวอย่างที่ 1 เขียนฟังก์ชั่นแบบ Command ดังนี้

SUBTOTAL in Excel
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่าง Subtotal 
จากรูปที่ 1 ถ้าเขียน =SUBTOTAL(9,B1:B3) หรือ =SUBTOTAL(109,B1:B3) จะได้ผลลัพธ์เป็น 9 ทั้ง 2 ฟังก์ชั่น และมีความหมายว่าให้ทำการบวกค่าระหว่าง B1 ถึง B3 แต่ถ้าคุณซ่อน Row 2 ไป ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น 9 และ 5 ตามลำดับ 

แบบที่ 2 ใช้ Subtotal แบบ Outline ดังนี้
Subtotal - Outline
รูปที่ 2 แสดงการทำ Subtotal แบบ Outline
ในการทำ Subtotal แบบ Outline จะช่วยให้คุณไม่ต้องมาเขียนสูตรที่ละส่วน แต่การจะใช้เครื่องมือตัวนี้ เราต้องมารู้ก่อนว่ามันมีคุณลักษณะการทำงานอย่างไรบ้าง 

ขั้นตอนการทำงาน Subtotal แบบ Outline
1. ก่อนจะใช้เครื่องมือ Subtotal ได้ประสิทธิภาพที่สุด คุณควรจัดเตรียมข้อมูลให้โปรแกรมสามารถจัดการบริหารกับข้อมูลได้ง่ายขึ้นนั้นก็คือ ต้องใส่ข้อมูลให้เต็มทุกเซลล์ในตาราง / ทำการจัดเรียง (Sort) ข้อมูล ที่จะทำ Subtotal แบบ Outline ดังรูปที่ 3
SUBTOTAL outline
รูปที่ 3 แสดงการเตรียมข้อมูลให้เหมาะสมกับการทำ Subtotal แบบ Outline
ตามรูปที่ 3 เราได้ทำการเติมข้อมูลให้เต็มและจัดเรียงข้อมูล ในคอลัมน์ปี (Year) นั้นเอง

2. เลือกเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งบนตาราง และ เลือกที่ Data >> Subtotal โปรแกรมจะแสดง PopUp ดังรูปที่ 4
Subtotal
รูปที่ 4 แสดง Subtotal outline 
แต่ละส่วนของ Subtotal Popup มีดังนี้

  • At each change in: เป็นการเลือกคอลัมน์คุม ตารางที่ทำ Subtotal 
  • Use Function: เป็นการเลือกว่าจะใช้ Function ใดในการทำ Subtotal 
  • Add subtotal to : เป็นการเลือกคอลัมน์ที่ต้องการให้คำนวณ ตาม Function ที่เลือกไว้ 
  • Replace current subtotal เป็นการกำหนดให้สามารถเพิ่มผลรวมย่อยได้ โดยจะถูกใช้เมื่อคุณทำ Subtotal ไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ต้องการจะเพิ่ม Subtotal กับคอลัมน์อื่นเพิ่ม โดยไม่ให้กระทบกับข้อมูลที่ทำ Subtotal ไว้ก่อนหน้านี้นั้นเอง
  • Page break between groups เป็นการกำหนดให้แบ่งเป็นหน้า
  • Summary below data เป็นการกำหนดให้แสดงผลสรุปไว้ท้ายของตาราง


โดยในรูปที่ 4 คือการเลือกคอลัมน์ปี (Year) เป็นคอลัมน์คุมการแสดงผลรวมย่อย (Subtotal) ซึ่งจากการเติมข้อมูลให้เต็มทั้งตารางและจัดเรียงข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คุณจะได้ข้อมูลผลรวมย่อยที่นำไปวิเคราะห์ได้ ดังรูปที่ 5
Subtotal - outline in excel
รูปที่ 5 แสดงผลลัพธ์การทำผลรวมย่อย (Subtotal - Outline)

แต่หากคุณขี้เกียจ 😝😝😝 ไม่เติมข้อมูลให้เต็มหรือจัดเรียงข้อมูลให้เรียบร้อยก่อน คุณอาจจะได้ผลรวมย่อย (Subtotal) หลายรายการต่อข้อมูลในคอลัมน์เดียวกัน ซึ่งคุณก็คงต้องเริ่มต้นทำใหม่ ซึ่งถ้าคุณต้องการเริ่มต้นใหม่สามารถคลิกที่ปุ่ม Remove all ได้

นอกจากนี้ คุณยังสามารถทำการเพิ่ม Subtotal ที่ 2 ในตารางได้ โดยคลิกที่ Replace current subtotal แล้วเลือกคอลัมน์ที่ต้องการจะทำ Subtotal ที่ 2 ในส่วน Add subtotal to ดังรูปที่ 6 
ผลรวมย่อยในเอ็กเซล
รูปที่ 6 แสดงตัวอย่างการทำผลรวมย่อยที่2 (Subtotal แบบ outline) 
โดยในรูปที่ 6 จะทำการคลิกที่ Replace current subtotal และเลือกส่วนของ Add subtotal to: Product ผลลัพธ์ที่ได้เพิ่ม Subtotal ที่ 2 จะแสดงดังรูปที่ 7
รูปที่ 7 แสดงผลลัพธ์ของการทำผลรวมย่อยที่ 2 (Subtotal แบบ Outline)

หวังว่าบทความนี้ คงพอจะให้คุณสามารถนำไปใช้สรุปผลรวมย่อยกับงานของคุณ ๆ ได้อย่างดีนะคะ 
Share:

Flash Fill เป็นการจัดรูปแบบให้กับข้อมูลใน Excel

Flash Fill 

เป็นเครื่องมือใหม่ เริ่มมีใช้ตั้งแต่ Excel Version 2013 ขึ้้นไป ซึ่งความสามารถของ Flash Fill ก็เพื่อใช้จัดรูปแบบข้อมูลต่าง ๆ ได้ตามต้องการ

คุณลักษณะของ Flash Fill มี 2 ลักษณะ ดังนี้
1. การสกัดหรือดึง (Extract) ข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการออกมา
2. การรวม (Join) ข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการออกมา

จากรูปที่ 1 เราจะแสดงตัวอย่างการสกัด และ การรวม ข้อมูลตามรูปแบบที่ต้องการด้วยวิธี Flash Fill 
การแยกข้อความในเอ็กเซล
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการสกัดข้อมูลออกมาด้วย Flash Fill

ตัวอย่างที่ 1 การสกัดหรือดึงข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ตามรูปแบบที่ต้องการ ออกมาแสดง 
การใช้ Flash Fill ในเอ็กเซล
รูปที่ 2 แสดงวิธีการใช้ Flash Fill ใน Excel

จากรูปที่ 1 จะมีข้อมูลพื้นฐาน 2 คอลัมน์ คือ A, B ซึ่ง โจทย์ต้องการให้แยกชื่อ สกุล ออกจากเซลล์ B มาใส่ในคอลัมน์ C และ D ตามลำดับ นอกจากนี้ คอลัมน์ E ใช้จัดรูปแบบ email Addree จากชื่อ-สกุล (คอลัมน์ B)

พิมพ์ชื่อที่คอลัมน์ C กับ พิมพ์นามสกุลที่คอลัมน์ D และ พิมพ์ e-mail ที่คอลัมน์ E ที่ด้านบนสุด เพื่อให้โปรแกรมเอ็กเซล ใช้เป็นตัวอย่างในการทำ Flash Fill ดังรูปที่ 2
เมื่อเราได้รูปแบบข้อมูลที่ต้องการครบแล้ว คุณก็วางเมาส์ที่ C3 เพื่อทำการสกัดหรือดึงข้อมูล "ชื่อ" จากคอลัมน์ B2 แล้วไปที่ Data >> Flash Fill หรือ Ctrl+E ดังรูปที่ 3
วิธีการทำ Flash Fill ในเอ็กเซล
รูปที่ 3 แสดงวิธีการทำ Flash Fill ในเอ็กเซล
หลังจากนั้น ทำ Flash Fill ในส่วนอื่น ๆ ต่อไป โดยในตัวอย่างนี้ ให้วางเมาส์ที่ D3 เพื่อทำการสกัดหรือดึงข้อมูล "นามสกุล" จากคอลัมน์ B2 แล้วไปที่ Data >> Flash Fill หรือ Ctrl+E 

ตัวอย่างที่ 2 การร่วมข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ตามรูปแบบที่ต้องการ ออกมาแสดง 

จากรูปที่ 1 จะเหลือส่วนของ e-mail ซึ่งก็ต้องวางเมาส์ที่ E3 เพื่อทำการสกัดหรือดึงข้อมูล "e-mail" จากคอลัมน์ B2 แล้วไปที่ Data >> Flash Fill หรือ Ctrl+E ดังรูปที่ 4
การร่วมข้อมูลในเอ็กเซลด้วย Flash Fill
รูปที่ 4 แสดงตัวอย่างหลังจากการทำ Flash Fill

ตัวอย่างที่ 3 การจัดรูปแบบข้อมูลตัวเลขได้ง่าย ๆ เหมือนข้อมูลที่เป็นตัวอักษร เช่น การจัดรูปแบบของเบอร์โทรศัพท์ได้ ดังรูปที่ 5
Flash Fill เบอร์โทรศัพท์
รูปที่ 5 แสดงตัวอย่างการทำ Flash Fill ที่เป็นตัวเลข
จากตัวอย่างที่ 3 นี้เราจะอธิบายการจัดรูปแบบตัวเลข ตามที่เราต้องการ ดังนั้น คุณก็ต้องทำเหมือนตัวอย่างก่อนหน้านี้ คือ วางเมาส์ที่ B2 แล้วพิมพ์รูปแบบที่คุณต้องการ ดังรูปที่ 6
Flash Fill ในเอ็กเซล
รูปที่ 6 แสดงตัวอย่างการใส่รูปแบบตัวเลขที่ต้องการ เพื่อเตรียมทำ Flash Fill 
เมื่อเราได้รูปแบบที่ต้องการแล้ว ก็ต้องวางเมาส์ที่ B3 แล้วคลิก Data >> Flash Fill หรือ Ctrl+E ดังรูปที่ 7
Flash fill
รูปที่ 7 แสดงผลการทำ Flash Fill ข้อมูลที่เป็นตัวเลข
จากตัวอย่างทั้ง 3 จะพบว่า เครื่องมือ Flash Fill มีคุณลักษณะที่ใช้ในการจัดการรูปแบบทั้งตัวเลข ตัวอักษร ได้อย่างง่าย ๆ แต่เครื่องมือนี้ก็ยังมีข้อจำกัดเช่นกัน 

ข้อจำกัดของ Flash Fill 
คือ ถ้าข้อมูลพื้นฐานมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเพิ่มข้อมูลใหม่ ๆ ขึ้นมา ส่วนที่เป็นผลลัพธ์จะไม่เปลีี่ยนตามข้อมูลพื้นฐานนั้น เพราะ ว่าเครื่องมือนี้เป็นเหมือนการ Stamp ค่าคงที่ลงไป ไม่ได้ มีคุณลักษณะเหมือนการใช้สูตรหรือฟังก์ชั่น ที่จะปรับเปลี่ยนไปตามข้อมูลพื้นฐานนั้นเอง


😅😄😄😄😄😄😄


Share:

นับสิ่งที่สนใจแบบมีเงื่อนไขเดียวในพริบตา...ด้วยสูตร CountIF() ตอนที่ 1

ถ้าคุณได้รับงานให้ค้นหาคำในไฟล์ Excel ขนาดใหญ่ ให้เรามาใช้สายตาตรวจคงจะไม่ไหว ดังนั้น ในบทความนี้ จะนำเสนอสูตรที่ช่วยให้คุณนับคำที่เราสนใจได้ในพริบตา

CountIF() ถูกใช้กับการนับเซลล์ ในช่วงที่คุณกำหนดเป็นเงื่อนไข 

โดยไวยากรณ์สูตรต้องเขียน ดังนี้
ไวยากรณ์:   COUNTIF(range, criteria)
หลักการ
  • range หมายถึง ช่วงของเซลล์ที่คุณต้องการจะนับ เช่น A1:A20 เป็นต้น 
  • criteria หมายถึง เงื่อนไขที่คุณต้องการ ซึ่งจะเป็นตัวเลข ข้อความ หรือตัวแปรก็ได้ 
ตัวอย่าง1 ทำการนับคำด้วย COUNTIF() โดยเงื่อนไขสามารถเป็นตัวแปร หรือข้อความก็ได้
COUNTIF Formula Example
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการใช้สูตร COUNTIF

จากตัวอย่างนี้ ใช้สูตร COUNTIF เข้ามาช่วยนับคำที่กำหนด ซึ่งสูตรนี้จะไม่ตรวจสอบตัวอักษรใหญ่-เล็ก (case insensitive) และเงื่อนไขสามารถกำหนดเป็นตัวแปร (เหมือนเซลล์ B6 และ B8) หรือข้อความ (เซลล์ B7) ก็ได้ 

นอกจาก เงื่อนไขของ COUNTIF สามารถเป็นทั้งตัวแปรและข้อความแล้ว ยังสามารถใส่เป็นตัวเลข หรือสูตรได้ด้วย

ตัวอย่างที่ 2 ทำการนับคำด้วย COUNTIF() โดยเงื่อนไขสามารถเป็นตัวเลข หรือสูตรได้
จากตัวอย่างที่ 2 นี้ 
=COUNTIF($A$2:$D$4,2) คือ สูตรนี้นับเซลล์ตั้งแต่ A2 ถึง D4 โดยให้นับเลข 2 
=COUNTIF($A$2:$D$4,"*Ap*") คือ สูตรนี้นับเซลล์ตั้งแต่ A2 ถึง D4 โดยให้นับคำที่มีส่วนประกอบ Ap ซึ่งข้างหน้าและหลังคำนี้ จะประกอบด้วยตัวอักษรอะไร จำนวนเท่าไรก็ได้ 
=COUNTIF($A$2:$D$4,"?????es") คือ สูตรนี้นับเซลล์ตั้งแต่ A2 ถึง D4 โดยให้นับคำที่มีตัวอักษรอะไรก็ได้ แต่จำนวนตัวอักษรต้องมี 5 ตัว และต้องปิดท้ายคำด้วย es 
=COUNTIF($A$2:$D$4,"????es") คือ สูตรนี้นับเซลล์ตั้งแต่ A2 ถึง D4 โดยให้นับคำที่มีตัวอักษรอะไรก็ได้ แต่จำนวนตัวอักษรต้องมี 4 ตัว และต้องปิดท้ายคำด้วย es 

แต่ถ้าต้องการค้นหาตัวคำว่า "?" หรือ "*" ให้ใส่ "~" นำหน้า "?" หรือ "*" โปรแกรมจะค้นหา "?" หรือ "*" ได้ปกติ

ตัวอย่างที่ 3 ทำการนับคำด้วย COUNTIF() โดยเงื่อนไขสามารถดูว่ามีค่ามากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากับ ก็ได้
ถ้าต้องการนับตัวเลขที่

  • มากกว่า 5                 =COUNTIF($A$2:$D$4,">5")
  • มากกว่าหรือเท่ากับ 5 =COUNTIF($A$2:$D$4,">=5")
  • น้อยกว่า 5                 =COUNTIF($A$2:$D$4,"<5")
  • น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5 =COUNTIF($A$2:$D$4,"<=5")
  • เท่ากับ 5                   =COUNTIF($A$2:$D$4,"=5")
  • ไม่เท่ากับ 5               =COUNTIF($A$2:$D$4,"<>5")

ก่อนหน้านี้ COUNTIF ใช้กับเงื่อนไขเพียง 1 เงื่อนไข แต่ถ้าต้องการนับ หลายเงื่อนไขละ จะทำได้อย่างไร


ตัวอย่างที่ 4 ทำการนับคำด้วย COUNTIF() โดยมีหลายเงื่อนไข
ถ้าใช้โจทย์เดียวกับตัวอย่างที่ 3 คุณสามารถ + หรือ - ค่าที่ได้จากเงื่อนไขที่กำหนดไว้เป็นตัวเลข ดังนี้
=COUNTIF($A$2:$D$4,">=4")-COUNTIF($A$2:$D$4,"<7")+COUNTIF($A$2:$D$4,"=7")
จากสูตรนี้ จะมี 3 COUNTIF()  ได้ 8-7+2 คำตอบที่ได้ คือ 3

ถ้าใช้โจทย์เดียวกับตัวอย่างที่ 2 คุณสามารถใช้ + หรือ - ค่าที่ได้จากเงื่อนไขที่กำหนดเป็นตัวอักษร ดังนี้
=COUNTIF($A$5:$D$7,"*apples")+COUNTIF($A$5:$D$7,"oranges")
จากสูตรนี้ จะมี COUNTIF() ได้ 4+2 คำตอบที่ได้ คือ 6


Share:

การเปรียบเทียบ 2 คอลัมน์แบบทีละแถว

ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Excel คุณจะเลี่ยงงานที่ต้องเปรียบเทีียบข้อมูลในแต่ละแถวไม่ได้เลย ซึ่งเราก็มีวิธีการต่างๆ ให้คุณได้นำไปประยุกต์ใช้ โดยในบทความนี้จะให้คุณเปรียบเทียบคำใน 2 คอลัมน์ จากตารางที่ 1 
เปรียบเทียบคอลัมน์
ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลที่จะใช้ทำการเปรียบเทียบ

ตัวอย่างที่1 การเปรียบเทียบ 2 คอลัมน์ ที่ละแถว โดยใช้ IF Function ดังนี้
1. เขียนสูตรในเซลล์ C1 ดังนี้ =IF($A2=$B2,"Match","-"

ปล.

  • "$" หน้าชื่อเซลล์แบบนี้มีประโยชน์อย่างไร อ่านที่นี่ 
  • สูตร IF() อ่านได้ว่า ถ้าเงื่อนไขสีน้ำเงินเป็นจริง (ค่าในเซลล์ A2 เท่ากับ B2) ให้แสดงข้อความสีเขียว แต่ถ้าเงื่อนไขสีน้ำเงินเป็นเท็จ ให้แสดงข้อความสีแดง
  • สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมที่ การใช้ Logic Function ที่ Excel เตรียมไว้

2. คัดลอกข้อมูลลงมาถึงเซลล์ C12 .... เทคนิคการคัดลอก มีแบบไหนบ้าง อ่านที่นี่
เพียงแค่นี้คุณจะได้ ดังรูปที่ 1
การเปรียบเทียบคอลัมน์ในเอ็กเซล
รูปที่ 1 แสดงผลการใช้สูตร IF ในการเปรียบเทียบคอลัมน์
จากคอลัมน์ผลลัพธ์ จะเห็นว่าโปรแกรมสามารถเปรียบเทียบคอลัมน์ว่าเหมือนหรือต่างกันได้อย่างถูกต้อง แต่วิธีนี้จะไม่สามารถตรวจสอบตัวอักษรตัวใหญ่-เล็กได้ (case-sensitive) แบบเดียวกับ แถวที่ 4, 9 

ตัวอย่างที่2 การเปรียบเทียบค่า 2 คอลัมน์ ว่าเหมือนหรือต่างกัน โดยดูที่ตัวอักษรด้วยว่าตัวใหญ่หรือเล็ก (case-sensitive) ด้วย EXACT Function ดังนี้
1. เขียนสูตรแบบนี้ =IF(EXACT($A2,$B2),"Match","-"

ปล. 

  • สูตร IF() อ่านได้ว่า ถ้าเงื่อนไขสีน้ำเงินเป็นจริง (ค่าในเซลล์ A2 มีลักษณะเหมือนกับ B2 ทุกตัวอักษร) ให้แสดงข้อความสีเขียว แต่ถ้าเงื่อนไขสีน้ำเงินเป็นเท็จ ให้แสดงข้อความสีแดง
  • สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมที่ การใช้ Logic Function ที่ Excel เตรียมไว้

2. คัดลอกข้อมูลลงมาถึงเซลล์ C12 เพียงแค่นี้คุณจะได้ ดังรูปที่ 2
การเปรียบเทียนคอลัมน์ในเอ็กเซล
รูปที่ 2 แสดงผลการใช้สูตร Exact ในการเปรียบเทียบคอลัมน์
จากรูปที่ 2 คอลัมน์ที่ 4 และ 9 จึงแสดงว่ามีค่าที่ไม่ Match เพราะ Exact Function จะเปรียบเทียบถึงตัวอักษรเล็ก-ใหญ่ด้วย 


😏😏😏😏 

จากทั้ง 2 ตัวอย่างข้างบน เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง 2 คอลัมน์ แต่ถ้าคุณ ๆ ต้องการเปรียบเทียบ 3 คอลัมน์ขึ้นไปจะต้องทำอย่างไร !!! 

ตัวอย่างที่ 3 การเปรียบเทียบค่าตั้งแต่ 2 คอลัมน์ขึ้นไป ว่าเหมือนหรือต่างกัน โดยใช้ สูตร IF() และ สูตร AND() เพื่อให้ได้ ดังรูปที่ 3
Compare two compumn
รูปที่ 3 การเปรียมเทียบหลายคอลัมน์ใน Excel (Compare multiple columns)
1. เขียนสูตรแบบนี้ =IF(AND(A2=B2, A2=C2), "Full match", "-") ที่เซลล์ D2

ปล.

  • สูตร IF() หมายถึง ถ้าเงื่อนไขสีน้ำเงินเป็นจริง ให้แสดงข้อความสีเขียว แต่ถ้าเงื่อนไขสีน้ำเงินเป็นเท็จ ให้แสดงข้อความสีแดง
  • สูตร AND() หมายถึง เมื่อ A2 มีค่าเท่ากับ B2 และ A2 มีค่าเท่ากับ C2 
  • สามารไปศึกษาเพิ่มเติมที่ การใช้ Logic Function ที่ Excel เตรียมไว้

2. คัดลอกข้อมูลลงมาถึงเซลล์ D12 เพียงแค่นี้คุณจะได้ ดังรูปที่ 3 

จากทั้ง 3 ตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าการเปรียบเทียบ 2 คอลัมน์สามารถมีวิธีต่าง ๆ ให้คุณได้เลือกใช้มากกว่า 1 วิธี ซึ่งคุณต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละงาน





Share:

3 ขั้นตอนการเปรียบเทียบไฟล์ 2 ไฟล์ใน Excel

หากคุณมี Workbooks 2 ตัวขนาดไม่ใหญ่ การใช้สายตาในการเปรียบเทียบทั้ง 2 Workbooks ก็ไม่มีน่าจะมีปัญหา แต่ถ้าข้อมูลเยอะ ๆ การตรวจสอบด้วยสายตาอาจจะไม่ work เท่าไร 

ในบทความนี้ แนะนำเครื่องมือในการจัดการไฟล์หลาย ๆ ไฟล์ เพื่อให้เราเห็นข้อมูลทั้งหมด และ สูตรให้โปรแกรมทำการเปรียบเทียบข้อมูล

ส่วนนี้จะกล่าวถึง เครื่องมือในการจัดการมุมมองของไฟล์หลาย ๆ ไฟล์ทั้งหมดพร้อมกัน คือ View Side นั้นเอง

1. คุณเปิด workbooks 2 workbooks เปรียบเทียบกัน 
2. เปิด View tab >> View Side by Side ดังรูปที่ 1
เปรียบเทียบ workbooks ใน Excel
รูปที่ 1 แสดงวิธีการเปรียบเทียบไฟล์ 2 ไฟล์
3. โปรแกรมจะเปิด workbooks 2 workbooks ในแนวนอน (Horizontally) ดังรูปที่ 2
เปรียบเทียบไฟล์ 2 ไฟล์ ใน excel
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างเมื่อคลิกปุ่ม View Side by Side
4. หากต้องการให้โปรแกรมแสดงทั้ง 2 ไฟล์ในแนวตั้ง (Vertically) ดังรูปที่ 3 
การเปรียบเที่ยบไฟล์ 2 ไฟล์ ใน Excel
รูปที่ 3 แสดงวิธีการเปรียบเทียบไฟล์ 2 ไฟล์
5. โปรแกรมจะเปิด workbooks 2 workbooks ในแนวตั้ง (Vertically) ดังรูปที่ 4
วิธีการเปรียบเทียบไฟล์ 2 ไฟล์ (Compare two Excel files)
รูปที่ 4 แสดงตัวอย่างหน้าจอเมื่อเลือก Vertically
แต่ถ้าคุณไม่ตรวจสอบด้วยสายตา เรามี วิธีการเขียนสูตรใน Excel เพื่อเปรียบเทียบค่าในเซลล์แต่ละเซลล์ ดังนี้
1. รวมข้อมูลในไฟล์เดียวกัน โดยการแบ่งเป็น Sheet 

2. เขียนสูตร นี้ 
=IF(Sheet1!$A2<>Sheet2!$A2,"sheet1:"&Sheet1!A2&" vs  Sheet2:"&Sheet2!$A2,"-"

ถ้า งง สูตรคุณควรอ่าน IF() ในบทความ การใช้ Logic Functions ใน Excel และ ถ้า งง $ ให้อ่านบทความ 3 ประเภทการอ้างอิงเซลล์ (Cell Reference) ใน Excel ก่อน

จากสูตรด้านบน คือ 
- สีฟ้า หมายถึง เงื่อนไขที่กำลังจะตรวจสอบ ในโจทย์นี้ เราต้องการเปรียบเทียบข้อมูล A2 ของ Sheet1 กับ Sheet2 
- สีเขียว หมายถึง เมื่อเงื่อนไข (สีฟ้า) เป็นจริง จะทำในส่วนนี้ คือ แสดงข้อความ Sheet1: [ค่า A2 ใน Sheet1] เทียบกับ Sheet2 : [ค่า A2 ใน Sheet2] 
- สีแดง หมายถึง เมื่อเงื่ิอนไข (สีฟ้า) เป็นเท็จ จะทำในส่วนนี้ คือ ขีดเส้น 

3. Copy สูตรไปวางเซลล์อื่นๆ ให้เท่ากับจำนวนคอลัมน์และแถวของทั้ง 2 ตาราง ดังรูปที่ 5 
การปรียบเทียบค่าระหว่างเซลล์ ใน Excel
รูปที่ 5 แสดงผลลัพธ์จากการเขียนสูตร
เพียงแค่นี้คุณก็ไม่ต้องมาตรวจสอบด้วยตาตัวเอง แต่ให้สูตรตรวจสอบเพียงไม่กี่นาที
Share:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Dashboards คืออะไร มีกี่ประเภท

Dashboards คืออะไร และสามารถช่วยเราในการทำงานอย่างไร Dashboards คือ การนำข้อมูลมาสร้างรายงานที่เป็นภาพรวมทางธุรกิจ ให้ผู้บริหารสามารถ...

Recent Posts

Keywords

เอ็กเซล Data-Management Functions การจัดการข้อมูลในเอ็กเซล Blogger Basic-Excel Create-Blogger การจัดการข้อมูล Excel Conditional Formatting excel Data-Analysis Drop down list Excel สูตร Computer knowledge Feed RSS Atom คือ อะไร Index Match function excel SEO Search Console Search engine chart excel คือ excel data validate paste option Excel vlookup approximate Match exact Match vlookup function excel การใช้ concatenate ใน excel สร้าง drop down list สร้าง กราฟ เอ็กเซล Advance Filter Auto Filter by Color Auto Filter by Text Content Syndication DATEDIF() Datedif Function Excel SUM Function Excel SUMIF Function Excel SUMIFS Function Formula Values Transpose Formatting Function excel Gantt Chart excel Gantt Chart excel ทำยังไง HLOOKUP Icon Set Index Match function คือ Knowledge Line Chart Scatter Chart LogicFunction Match function excel Name Manager Paste Special Pie Doughnut chart excel Robots Header Tag Sumproduct function การใช้ สูตร เอ็กเซล Template Text Function Excel Trim Clear Function Excel Values column chart excel condition countif excel count if excel 2010 countifs data validation excel countifs เงื่อนไข ตัวอักษร มากกว่า น้อยกว่า excel index match formula excel match function reference cell excel sort and filter excel เบืื้องต้น excel เบื้องต้น flash fill excel คือ flash fill คือ อะไร function คือ highlight in dropdownlist index excel match vlookup index match ใช้ยังไง lookup excel กราฟ แผนภูมิ Excel การ เรียง ข้อมูล excel การ เรียง ลําดับ ข้อมูล excel การกรองข้อมูล Excel การตัดข้อความ เอ็กเซล การทํา chart excel การทําcontrol chart excel การสร้าง ตาราง กราฟ excel การสร้าง chart excel การสร้างฟีต การหาผลรวมในเอ็กเซล การเผยแพร่เนื้ือหา การเพิ่ม Subscription ให้ Blogger การแยก ข้อความ การใช้ if การใช้ index match excel การใช้งาน Subtotal outline excel การใช้ฟังก์ชั่น concatenate การใช้แผนภูมิ chart excel ค้นหาข้อมูล เอ็กเซล ค้นหาเลขคอลัมน์ ค้นหาเลขแถว เอ็กเซล ตัดช่องวางในเอ็กเซล ผูกเว็บกับ Google Analytics ฟังก์ชั่น Text การใช้ วิธีการตัดข้อความใน Excel วิธีทำ แผนภูมิ วงกลม Excel สูตร COUNTIF สูตรexcel concatenate สูตรการหาผลรวมใน Excel หาผลต่างระหว่างเดือน เพิ่มรายการใน Data Validation แผนภูมิ คอลัมน์ excel แผนภูมิคอลัมน์ เรียงซ้อน ใส่สีให้ dropdownlist