การสร้าง Drop Down List ทั้งแบบง่ายๆ และแบบมีเงื่อนไข

Drop-Down List ถือเป็นวิธีการที่ดีในการควบคุมข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องกรอกเข้ามาภายในโปรแกรม หรือ เป็นการสร้างช่องทางโต้ตอบให้กับรายงานแบบ Dashboards ได้ โดยที่การสร้าง Drop-Down List ภายในโปรแกรมอื่นๆ ดูจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากสักเท่าไร แต่สำหรับใครที่เคยเจองานที่ต้องสร้าง Drop-Down List ใน Excel อาจไม่รู้สึกแบบนั้น ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะแสดงตัวอย่างวิธีใช้ Drop-Down List แบบต่างๆ เพื่อให้ท่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม

ตัวอย่างที่ 1 การสร้าง Drop-Down List แบบง่ายๆ ด้วยตารางหรือช่วง (Table/Range) ใน sheet
1. ให้คุณเตรียมข้อมูลที่ต้องการสร้าง Drop-Down List  
2. ทำการสร้าง Drop-Down List ใน Cell ที่คุณต้องการ ดังนี้
    >> ไปที่ Tab: Data 
    >> มองหาส่วนของ Data Tool 
    >> เลือกปุ่ม Data Validation 
    >> จะมี PopUp: Data Validation แสดงขึ้นมา 
    >> ใน Tab: Settings ให้เลือก List 
    >> ในช่อง Source Field: [ระบุชื่อเซลล์ที่จะมาทำ Drop-Down List]
    >> คลิกปุ่ม OK ดังรูปที่ 1
การสร้าง Drop Down List ในเอ็กเซล
รูปที่ 1 ตัวอย่างการสร้าง Drop-Down List ด้วย Data Validation แบบช่วงเซลล์ข้อมูล (Range)
เพียงแค่นี้คุณจะได้ Drop-down list ที่มีข้อมูลตั้งแต่ A20 ถึง A24 

แต่ถ้ามี Item ไม่มาก สามารถระบุข้อมูลไปที่ Source Field ได้โดยตรง จากรูปที่ 1 ให้ระบุ Item ที่ Source field เช่น Mark,John,Natty,Anny,Woody 

3. การแปลง Cell ธรรมดาใน Excel ให้กลายเป็น Drop-Down List ที่มีข้อมูลในข้อ 1 เรียบร้อย ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงการสร้าง Drop-Down List 
จากรูปที่ 2 เราได้สร้าง Cell ด้านขวาของ "Employees" ให้เป็น Drop-Down List นั้นเอง

กรณีต้องการสร้าง Drop Down List ทั้งคอลัมน์ คุณสามารถคลิกที่หัวคอลัมน์นั้นๆ และทำตามตัวอย่างที่ 1 ได้เลย

ตัวอย่างที่ 2 การสร้าง Drop-Down List แบบใช้สูตร Offset
ข้อ 1 และ ข้อ 2 ให้ทำเหมือนตัวอย่างที่ 1 แต่ ในช่อง Source Field: ให้พิมพ์สูตร OFFSET Function ในการสร้าง Drop-Down List โดยไวยากรณ์ของสูตร คือ


=OFFSET(reference name, rows, cols, [height], [width])

ดังรูปที่ 3 
รูปที่ 3 แสดงวิธีการสร้าง Drop-Down List ด้วยสูตร OFFSET
ข้อดีของการใช้สูตร OFFSET ยังสามารถสร้าง Drop-down list ด้วยการขยายเซลล์ เพื่อเพิ่มรายการใน Drop-down list ได้อัตโนมัติ ซึ่งคุณสามารถนำสูตรข้างล่างนี้ ไปประยุกต์ใช้ได้ ดังนี้


=OFFSET($A$2,0,0,COUNTIF($A$2:$A$10,”<>”))

จากสูตรนี้ CountIF จะแสดงรายการใน Drop-Down List เพียง 5 รายการ โดย CountIF จะใช้นับเซลล์ที่ว่าง (non-blank cells) และรวมเซลล์ว่างเพื่อไม่ให้แสดงรายการว่างใน Drop-Down List นั้นเองดังนั้น เมื่อไรที่คุณเพิ่มรายการ (Item) ในเซลล์ตั้งแต่ A7 ถึง A10 ช่องที่เราสร้าง Drop-Down List จะเพิ่มรายการอัตโนมัติทันที

ความแตกต่างระหว่างตัวอย่างที่ 1 และตัวอย่างที่ 2 คุณจะพบว่า หาสร้าง Drop Down List ตามตัวอย่างที่ 2 จะทำให้การเพิ่มหัวข้อภายใน Drop Down List สามารถทำได้ง่ายกว่า และไม่ต้องกลับไปแก้ไข Data Validation เดิมที่ทำไว้ด้วย แต่ถ้าคุณทำตามตัวอย่างที่ 1 คุณต้องมั่นใจว่า Drop Down List ที่คุณกำลังสร้าง จะไม่มีการเพิิ่มหัวข้อ Drop Down List ในภายหลังอีก 

ตัวอย่างที่ 3 การสร้าง Drop-Down List แบบมีเงื่อนไขหรือแสดงข้อมูลตาม Drop-Down List ก่อนหน้า
หลายครั้งคุณต้องสร้าง Drop-Down List หลายตัว โดย Drop-Down List ที่ 2 จะขึ้นกับ Drop-Down List ที่ 1 จะเรียกว่า "Dependent drop-down lists"  หรือ "Conditional drop-down lists" 
ข้อ 1. เตรียมข้อมูลสำหรับสร้าง Dependent drop-down lists  หรือ Conditional drop-down lists โดยเลือกเซลล์ที่คุณต้องให้เป็น Drop-down list1 

ข้อ 2. การสร้าง Drop-Down List ที่ 1 ใน Cell ที่คุณต้องการ 
    >> ไปที่ Data Tab
    >> มองหาส่วนของ Data Tool 
    >> เลือกปุ่ม Data Validation 
    >> จะมี PopUp: Data Validation แสดงขึ้นมา 
    >> ใน Tab: Settings ให้เลือก List 
    >> ในช่อง Source Field: [ระบุชื่อเซลล์ที่จะมาทำ Drop-Down List ที่ 1]
    >> คลิกปุ่ม OK ดังรูปที่ 4
Data Validation
รูปที่ 4 ตัวอย่างการสร้าง Drop-Down List แบบมีเงื่อนไข
ข้อ 3. การตั้งชื่อตารางที่จะสร้าง Drop-down List ที่ 2 ด้วยการเลิือกเซลล์ A1 ถึง B6 หลังจากนั้น 
     >> เลือก Formulas Tab 
     >> มองหาส่วนของ Defined Names
     >> เลือกปุ่ม Create from Selection
     >> จะมี PopUp: Create Named from Selection แสดงขึ้นมา 
     >> ให้เลือก Top row option  จะได้ชื่อช่วงเซลล์ (names ranges) เป็น Employee และ Department โดย Employee จะอ้างชื่อช่วงเซลล์ (names ranges) Employee 
     >> คลิกปุ่ม OK 

ข้อ 4. การสร้าง Drop-Down List ที่ 2 ใน Cell ที่คุณต้องการ 
    >> ไปที่ Data Tab
    >> มองหาส่วนของ Data Tool 
    >> เลือกปุ่ม Data Validation 
    >> จะมี PopUp: Data Validation แสดงขึ้นมา 
    >> ใน Tab: Settings ให้เลือก List 
    >> ในช่อง Source Field: [ระบุสูตรที่สามารถสร้าง Drop-Down List ที่ 2] 
    >> คลิกปุ่ม OK ดังรูปที่ 5
Data Validation
รูปที่ 5 ตัวอย่างการสร้าง Drop-Down List ที่ 2
จากรูปที่ 5 สูตร INDIRECT(ชื่อเซลล์ที่เป็น Drop-Down List ที่ 1) เพื่อกำหนดให้ Drop-down list ที่ 2 แสดงผลตาม Items ตาม Item  D2 นั้นเอง (Drop-down list 1 เป็น Department ส่งผลให้ Drop-down list 2 แสดง Items ของ Department)


ในบทความนี้ เราให้ตัวอย่างไป 3 แบบ เพื่อให้คุณๆ นำไปประยุกต์ใช้กับลักษณะงานของแต่ละท่านได้อย่างเหมาะสม 
Share:

4 ข้อในการสร้างแผนภูมิ Excel ให้อ่านง่ายและสวยงาม


เมื่อคุณมีข้อมูลที่ต้องนำเสนอในรูปแบบของ "แผนภูมิ" หรือที่ส่วนใหญ่รู้จักว่า "กราฟ" เราจะทำอย่างไรให้แผนภูมินั้น ดูมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด

บทความนี้ เรายังคงนำเสนอกลเม็ดเคล็ดไม่ลับ การแต่งแผนภูมิเหล่านั้น ให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจง่าย ดูมีความน่าเชื่อถือ และมีความสวยงาม 

1. เลือกแผนภูมิให้เหมาะสมกับข้อมูลในตาราง
คุณควรทำความเข้าใจข้อมูลก่อนว่า ควรจะนำเสนอแผนภูมิแบบใด เพราะแต่ละแผนภูมิจะนำเสนอเรื่องราวของข้อมูลไม่เหมือนกัน ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องเลือกแผนภูมิที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้ดีที่สุด  

5 ข้อเลือกแผนภูมิให้เหมาะกับข้อมูล
1. คุณต้องการเปรียบเทียบค่า (Value) หรือไม่ 
แผนภูมิที่เหมาะสมกับการเปรียบเทียบค่าตั้งแต่ 1 ค่าไปจนหลายๆ ค่า เช่น แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart) แผนภูมิแทง (ฺBar Chart) แผนภูมิพื้นที่ (Circular Area) แผนภูมิเส้น (Line Chart) แผนภูมิจุด/กระจาย (Scatter Chart) แผนภูมิผสม (Bullet Chart) เป็นต้น 

2. คุณต้องการให้แสดงส่วนประกอบอะไรบ้าง 
เช่น แผนภูมิวงกลม (Pie chart) แผนภูมิพื้นที่ (Area Chart) เป็นต้น 

3. คุณต้องการดูการกระจายตัวของข้อมูลหรือไม่
แผนภูมิที่แสดงการกระจายตัวของข้อมูลจะทำให้คุณสังเกตเห็นข้อมูลที่มีความผิดปกติ แนวโน้มปกติ และช่วงของข้อมูล เช่น แผนภูมิจุด/กระจาย (Scatter Chart) แผนภูมิแทง (ฺBar Chart) แผนภูมิเส้น (Line Chart) แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart) เป็นต้น 

4. คุณต้องการวิเคราะห์แนวโน้มของข้อมูลหรือไม่
แผนภูมิที่สามารถให้ข้อมูลของชุดข้อมูล (data set) ต่อช่วงเวลา เช่น แผนภูมิเส้น (Line Chart) แผนภูมิคอลัมน์ (Column Chart) เป็นต้น 

5. คุณต้องการดูความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มข้อมูลหรือไม่
เช่น แผนภูมิเส้น (Line Chart) แผนภูมิจุด/กระจาย (Bubble/Scatter Chart) เป็นต้น

ตัวอย่าง แผนภูมิแท่ง กับ แผนภูมิโดนัท ใช้เปรียบเทียบข้อมูลที่เป็นหมวดหมู่ได้เหมือนกัน แต่ลักษณะของแผนภูมิแท่ง ทำให้อ่านข้อมูลแผนภูมิได้อย่างง่ายและเห็นแนวโน้มของข้อมูลได้ มากกว่าแผนภูมิโดนัท ที่เหมาะกับลักษณะข้อมูลที่มีหมวดหมู่หนึ่งใหญ่กว่าหมวดหมู่อื่นๆ มากและไม่ควรมีหมวดหมู่มากเกินกว่า 7 หมวด ดังรูปที่ 1-2
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างแผนภูมิโดนัท

รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างแผนภูมิแท่ง
รูปที่ 3 ตัวอย่างเลือกแผนภูมิให้ผู้อ่านเห็นข้อมูลได้ง่าย

2. จัดเรียงข้อมูลเพื่อให้ดูข้อมูลได้ง่ายขึ้น

เมื่อคุณทำตามข้อ 1 มาอย่างดีแล้ว ยอมจะได้แผนภูมิที่ใช้ในการนำเสนอรายละเอียดข้อมูลได้ดีที่สุดแน่นอน แต่เรายังมีเทคนิคอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อให้แผนภูมิของคุณ เป็นแผนภูมิที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น นั้นก็คือ เราสามารถทำการจัดเรียงข้อมูลให้ดูได้ง่ายมากขึ้น ดังรูปที่ 4
แต่งแผนภูมิให้สวยและอ่านง่าย
รูปที่ 4 แสดงแผนภูมิที่ยังไม่ได้จัดเรียงข้อมูล
คุณควรเรียงข้อมูลให้เป็นลำดับ ก่อนสร้างแผนภูมิ เช่น จากมากไปน้อย หรือ น้อยไปมาก เพื่อให้ผู้อ่านคนอื่น สามารถเข้าใจแผนภูมิคุณได้ง่ายมากขึ้น ดังรูปที่ 5
การสร้างแผนภูมิให้สวยงาม
รูปที่ 5 แสดงตัวอย่างแผนภูมิที่จัดเรียงข้อมูลก่อน

3. ควรปรับแต่งแกน X,Y ให้สั้น กระชับ และทำความเข้าใจได้เร็ว
จากรูปที่ 5 จะเห็นว่า เราสามารถทำให้แกน Y ไม่ยาวเกินไปด้วยการคลิกขวาที่แกน Y ของแผนภูมิ >> เลือก "Format Axis" >> เลือก "Custom" >> พิมพ์ [>999999] #,,"M";#,"K" ที่ช่อง Format Code ดังรูปที่ 6
แกน y ในเอ็กเซล
รูปที่ 6 ตัวอย่างการกำหนดแกน y ให้แสดงตัวเลขไม่ยาว
จากรูปที่ 6 เป็นผลการกำหนดให้แกน y แสดงตัวเลขไม่ยาวเหมือนรูปที่ 5 

นอกจากนี้ เรายังสามารถเปลี่ยนรูปแบบของแกน x (X axes) ที่เป็นแกนใช้แสดงประเภทข้อมูล (Category) ของแผนภูมิ เราสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้ผู้อ่านทำความเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น 

ตัวอย่างที่ 1 การใช้ตัวย่อแทนชื่อเต็ม แบบนี้จะทำได้กับประเภทข้อมูลที่เป็น วัน เดือน ปี หรือชื่อเฉพาะต่างๆ 
Fix Category axis in Excel
รูปที่ 7 ตัวอย่างการย่อชื่อประเภทข้อมูล

ตัวอย่างที่ 2 การจัดเรียงข้อความให้อ่านได้ง่ายขึ้น  
Category axis in Excel
รูปที่ 8 ตัวอย่างการจัดเรียงประเภทข้อมูลให้เอียง 45 องศา

Fix Category axis in Excel
รูปที่ 9 ตัวอย่างจัดเรียงประเภทข้อมูลให้เอียง 90 องศา
หรือเลือกแผนภูมิให้ผู้อ่านเห็นรายละเอียดของประเภทข้อมูลได้ง่ายขึ้น ดังรูปที่ 3 ด้านบน

4. การใส่รายละเอียดของแผนภูมิให้เหมาะสม
การที่จะนำแผนภูมิไปนำเสนอกับคนอื่นๆ เราควรใส่รายละเอียดที่จำเป็นของแผนภูมิ เช่น ชื่อแผนภูมิ (Chart Title) ชื่อแกน x ชื่อแกน y (Axis Title) เป็นต้น 


Share:

แผนภูมิเส้น (Line Chart) ต่างอย่างไรกับแผนภูมิกระจาย (Scatter Chart)

แผนภูมิเส้น แผนภูมิกระจาย

จากความก่อนหน้านี้ กล่าวถึง ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแผนภูมิต่างๆ แผนภูมิคอลัมน์ และ แผนภูมิวงกลมหรือโดนัท ไปแล้ว บทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักแผนภูมิเส้นกับแผนภูมิกระจาย ซึ่งเมื่อคุณดูรวมๆ จะพบว่า รูปแบบลักษณะของทั้ง 2 มีความคล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนภูมิกระจายที่มีการเชื่อมต่อโดยเส้น (Scatter with Smooth/Straight Lines and Markers Chart) ยิ่งจะดูคล้ายกับแผนภูมิเส้นที่มีเครื่องหมายกำกับ (Line with Marker Chart/Stacked Line with Marker Chart)  

บทความนี้ จะใช้ข้อมูลดิบที่เป็นข้อมูลยอดขายสินค้าแต่ละเดือน เทียบกันระหว่างปี 2016 และ 2017 มาใช้เป็นตัวอย่างการสร้างแผนภูมิทั้ง 2 ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างข้อมูลยอดขายสินค้าแต่ละเดือนเทียบปี

แผนภูมิเส้น (Line Chart)
เป็นแผนภูมิที่สามารถใช้ในการแสดงแนวโน้มตามช่วงเวลา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลอย่างน้อย 1 ชุด หรือมากกว่า 1 ชุด โดยแนวนอน (Horizontal axis) มักใช้ในการแสดงหมวดหมู่ (Category) ของข้อมูล เช่น แสดงแนวโน้นตามปี เดือน ช่วงวัน เป็นต้น ส่วนแนวตั้ง มันใช้ในการแสดงข้อมูลตัวเลข


รูปแบบแผนภูมิเส้นแบบต่างๆ
1. Line Chart เป็นแผนภูมิที่เหมาะกับข้อมูลที่มีหลาย Data Point (Data Points หมายถึง ตัวเลขที่แสดงในแต่ละจุดบนแผนภูมิ ซึ่งจากรูปที่ 2 คุณสามารถเห็น Data Point บนแผนภูมิเส้นก็ต่อเมื่อนำเมาส์ไปวางในแต่ละจุดของเส้น หรือกำหนดให้แผนภูมิแสดงตัวเลขในแต่ละจุดออกมา) ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้น (Line Chart)
การเตรียมข้อมูลดิบ ให้เหมาะในการสร้างแผนภูมิเส้น
คุณควรเตรียมรูปแบบของข้อมูลดิบให้เหมาะสม กับการสร้างแผนภูมิเส้นให้ง่ายขึ้น ดังนี้ 

  • ควรมีคอลัมน์ตัวเลขอย่างน้อย 1 คอลัมน์ หรือมากกว่า และ คอลัมน์ตัวเลขนี้ ต้องมีแถวตั้งแต่ 2 แถวขึ้นไป เพื่อให้แต่ละเส้นมีจุดมากกว่า 2 จุด 
  • ตัวเลขควรเป็นค่าบวกหรือลบ
  • อาจมีคอลัมน์ที่เป็นตัวหนังสือหรือวันที่ได้

จากรูปที่ 1 เรามาสังเกตว่าข้อมูลในตารางเหมาะจะมาสร้างแผนภูมิเส้นหรือไม่ 

  • มีคอลัมน์ที่เป็นตัวเลขมากว่า 1 คอลัมน์ คือ B, C และแต่ละชุดข้อมูล มีแถว 12 แถว 
  • มีค่าตัวเลขในคอลัมน์ B, C เป็นค่าบวก 
  • มีคอลัมน์ที่เป็นตัวหนังสือ คือ ชื่อเดือน


2. Stacked Line Chart เรียกว่าแผนภูมิเส้นแบบซ้อนกัน แต่เส้นในแผนภูมินี้ จะ ไม่ ซ้อนทับกัน เพราะแต่ละเส้นจะมีการสะสมค่าเพิ่มเข้าไปแต่ละจุดของข้อมูล ดังรูปที่ 3
แผนภูมิเส้น เอ็กเซล
รูปที่ 3 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้นแบบซ้อนกัน 

3. 100% Stacked Line Chart เป็นแผนภูมิเส้นตรงแบบ 100% แบบนี้เส้นแต่ละชุดข้อมูลจะไม่ซ้อนทับกัน เพราะแต่ละเส้นจะบวกค่าเพิ่มไปที่ละชุดข้อมูล และแสดงค่าดิบโดยการแปลงค่าดิบนั้นให้เป็นเปอร์เซ็นก่อน ซึ่งถ้าสังเกตเส้นสุดท้ายหรือชุดข้อมูลสุดท้าย จะแสดงเป็นค่าเปอร์เซ็นทั้งหมด นั้นคือ 100% ดังรูปที่ 4
รูปที่ 4 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้นตรงแบบ 100%
กฎของการแสดงข้อมูลของแผนภูมิเส้นตรงแบบ 100%

  • ชุดข้อมูลของแผนภูมินี้ ต้องบวกค่าข้อมูลสะสมไปเรื่อยๆ จนครบ 100%
  • ชื่อคอลัมน์จะแทนด้วยเส้นตรง ซึ่งเป็นเส้นตรงที่ยาวเท่ากับจำนวนคอลัมน์ เช่น จากรูปที่ 4 ชื่อคอลัมน์ คือ ชื่อเดือน แผนภูมินี้จึงแสดงชื่อเดือนเป็นเส้นตรงนั้นเอง
  • เส้นที่ 2 จะแสดงด้วยค่าของเส้น/ชุดข้อมูลที่ 1 รวมกับ 2 เป็นเปอร์เซ็นของแต่ละคอลัมน์ เช่น เส้นสีฟ้าจุดแรกเป็นค่าเดือนมกราคมแปรงเป็นเปอร์เซ็น ส่วนเส้นสีแดงจุดแรกจะนำค่าทั้ง 2 ชุดมารวมกันจนครบ 100%


4. Line with Marker Chart ดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้นแบบมีเครื่องหมาย 

5. Stacked Line with Marker Chart ดังรูปที่ 6
รูปที่ 6 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้นตรงที่มีเครื่องหมาย

6. 100% Stacked Line with Marker Chart ดังรูปที่ 7
รูปที่ 7 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้นตรงที่มีเครื่องหมายแบบ 100%
แผนภูมิแบบนี้จะมีความคล้ายคลึงกับ 100% Stacked Line Chart เพียงแต่เพิ่มเครื่องหมายจุดบนเส้นเข้าไป

7. 3-D Line Chart ดังรูปที่ 8
รูปที่ 8 แสดงตัวอย่างแผนภูมิเส้นแบบ 3 มิติ



😊😊😊😊😊

แผนภูมิกระจาย (Scatter Chart)
เป็นแผนภูมิกระจาย ที่ใช้เมื่อต้องการเปรียบเทียบตัวแปรหรือชุดข้อมูลอย่างน้อย 2 ชุดขึ้นไป เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือชุดข้อมูลนั้น โดยแผนภูมิกระจายจะเรียกว่า X Y ว่ามีแนวโน้มไปแนวทางใด มันจุึงเหมาะสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมาก 
ถ้าคุณมีข้อมูลยอดขายสินค้าแต่ละเดือนในแต่ละปี เป็นดังนี้ 

รูปแบบแผนภูมิกระจายแบบต่างๆ 
1. Scatter Chart เป็นแผนภูมิกระจาย ที่ใช้เมื่อต้องการเปรียบเทียบตัวแปรหรือชุดข้อมูลอย่างน้อย 2 ชุดขึ้นไป เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือชุดข้อมูลนั้น ดังนั้น แผนภูมินี้ จึงเหมาะที่จะนำไปใช้กับข้อมูลที่มีวิธีการวัดแยกกัน ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างแผนภูมิกระจาย (Scatter Chart)
การเตรียมข้อมูลดิบ ให้เหมาะกับการสร้างแผนภูมิกระจาย
คุณควรเตรียมรูปแบบของข้อมูลดิบทั้งจำนวนและวันที่ ให้เหมาะสม กับการสร้างแผนภูมิกระจาย ซึ่งถ้าข้อมูลไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้แผนภููมิเกิดข้อผิดพลาดได้
1. ควรมีคอลัมน์ที่เป็นตัวเลข 2 คอลัมน์ และ คอลัมน์ที่เป็นตัวเลขนี้ ต้องมีอย่างน้อย 2 แถวหรือมากกว่า เพื่อให้โปรแกรมลากเส้นระหว่าง 2 ชุดข้อมูลได้
2. คอลัมน์ที่เป็นวันที่สามารถใช้เป็นคอลัมน์ตัวเลข ซึ่งจะวางไว้ที่แนวนอน (แกน X) โดยแแกน X นี้ มักให้แสดงข้อมูลที่เป็นหมวดหมู่ เช่น วันที่ เดือน ปี เป็นต้น 

2. Scatter with Smooth Lines and Markers Chart
เป็นแผนภูมิ
กระจายแบบเส้นโค้งที่มีเครื่องหมายจุด ที่เหมาะสมกับข้อมูลที่มีข้อมูลน้อย และข้อมูลแทนด้วย X, Y ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างแผนภูมิกระจายแบบเส้นโค้งมีเครื่องหมาย (Scatter with Smooth Lines and Markers)
3. Scatter with Smooth Lines Chart เป็นแผนภูมิกระจายเส้นโค้ง ที่เหมาะสมกับข้อมูลจำนวนมาก และข้อมูลแทนด้วย X, Y ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3 แสดงตัวอย่างแผนภูมิกระจายเส้นโค้ง (Scatter with Smooth Line Chart)

4. Scatter with Straight Lines and Markers Chart เป็นแผนภูมิกระจายเส้นตรงที่มีเครื่องหมาย โดยเหมาะที่จะใช้กับข้อมูลที่มีข้อมูลน้อย และข้อมูลแทนด้วย X, Y ดังรูปที่ 4 
รูปที่ 4 แสดงตัวอย่างแผนภูมิกระจายที่เป็นเส้นตรงที่มีเครื่องหมาย (Scatter with Straight Lines and Markers Chart)

5. Scatter with Straight Lines Chart เป็นแผนภูมิกระจายเส้นตรง แผนภูมิแบบนี้เหมาะกับข้อมูลจำนวนมากและมีวิธีการวัดที่ต่างกัน ดังรูปที่ 5
รูปที่ 5 แสดงตัวอย่างแผนภูมิกระจายเส้นตรง (Scatter with Straight Lines Chart)

😊😊😊😊😊

จากตัวอย่างข้างบน จะพบว่า จุดประสงค์ของแผนภูมิทั้ง 2 ไม่เหมือนกัน เพราะ แผนภูมิเส้น เพื่อแสดงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นของข้อมูล แต่แผนภูมิกระจาย เพื่อเปรียบเทียบตัวแปรหรือชุดข้อมูล และ แผนภูมิกระจาย เวลา Pot เส้น ยังไม่มีหมวดหมู่บนแกนแนวนอน เหมือนกับ Line Chart อีกด้วย

นอกจากนี้ ข้อจำกัดของการสร้างแผนภูมิทั้ง 2 แผนภูมิ คือ ห้ามเว้นข้อมูล(ดิบ) ทั้งแถวหรือคอลัมน์ ในตารางที่นำมาสร้างแผนภูมิ เพราะแผนภูมิจะไม่สมบูรณ์ทันที

Share:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Dashboards คืออะไร มีกี่ประเภท

Dashboards คืออะไร และสามารถช่วยเราในการทำงานอย่างไร Dashboards คือ การนำข้อมูลมาสร้างรายงานที่เป็นภาพรวมทางธุรกิจ ให้ผู้บริหารสามารถ...

Recent Posts

Keywords

เอ็กเซล Data-Management Functions การจัดการข้อมูลในเอ็กเซล Blogger Basic-Excel Create-Blogger การจัดการข้อมูล Excel Conditional Formatting excel Data-Analysis Drop down list Excel สูตร Computer knowledge Feed RSS Atom คือ อะไร Index Match function excel SEO Search Console Search engine chart excel คือ excel data validate paste option Excel vlookup approximate Match exact Match vlookup function excel การใช้ concatenate ใน excel สร้าง drop down list สร้าง กราฟ เอ็กเซล Advance Filter Auto Filter by Color Auto Filter by Text Content Syndication DATEDIF() Datedif Function Excel SUM Function Excel SUMIF Function Excel SUMIFS Function Formula Values Transpose Formatting Function excel Gantt Chart excel Gantt Chart excel ทำยังไง HLOOKUP Icon Set Index Match function คือ Knowledge Line Chart Scatter Chart LogicFunction Match function excel Name Manager Paste Special Pie Doughnut chart excel Robots Header Tag Sumproduct function การใช้ สูตร เอ็กเซล Template Text Function Excel Trim Clear Function Excel Values column chart excel condition countif excel count if excel 2010 countifs data validation excel countifs เงื่อนไข ตัวอักษร มากกว่า น้อยกว่า excel index match formula excel match function reference cell excel sort and filter excel เบืื้องต้น excel เบื้องต้น flash fill excel คือ flash fill คือ อะไร function คือ highlight in dropdownlist index excel match vlookup index match ใช้ยังไง lookup excel กราฟ แผนภูมิ Excel การ เรียง ข้อมูล excel การ เรียง ลําดับ ข้อมูล excel การกรองข้อมูล Excel การตัดข้อความ เอ็กเซล การทํา chart excel การทําcontrol chart excel การสร้าง ตาราง กราฟ excel การสร้าง chart excel การสร้างฟีต การหาผลรวมในเอ็กเซล การเผยแพร่เนื้ือหา การเพิ่ม Subscription ให้ Blogger การแยก ข้อความ การใช้ if การใช้ index match excel การใช้งาน Subtotal outline excel การใช้ฟังก์ชั่น concatenate การใช้แผนภูมิ chart excel ค้นหาข้อมูล เอ็กเซล ค้นหาเลขคอลัมน์ ค้นหาเลขแถว เอ็กเซล ตัดช่องวางในเอ็กเซล ผูกเว็บกับ Google Analytics ฟังก์ชั่น Text การใช้ วิธีการตัดข้อความใน Excel วิธีทำ แผนภูมิ วงกลม Excel สูตร COUNTIF สูตรexcel concatenate สูตรการหาผลรวมใน Excel หาผลต่างระหว่างเดือน เพิ่มรายการใน Data Validation แผนภูมิ คอลัมน์ excel แผนภูมิคอลัมน์ เรียงซ้อน ใส่สีให้ dropdownlist