แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Functions แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Functions แสดงบทความทั้งหมด

TRIM Function ปะทะ Clear Function


ในบทความนี้ จะรวบรวมฟังก์ชั่นที่ใช้ในการลบช่องว่างในโปรแกรม Excel เช่น TRIM CLEAN 

TRIM Function
นี้เป็นคำสั่งที่ใช้ในการลบช่องว่างเฉพาะตำแหน่งหัวและท้ายของคำ (TEXT) แต่ไม่ลบช่องว่างระหว่างคำ นอกจาก ช่องว่างระหว่าคำมีมากกว่า 1 ช่อง คำสั่งนี้จะปรับให้เหลือเพียง 1 เท่านั้น

ไวยากรณ์  =TRIM(text)

ตัวอย่าง ใช้คำสั่ง TRIM Function ในการลบช่องว่างในข้อความ ดังนี้

ประโยคในเซลล์ A1 เป็น text ซึ่งในประโยคที่เป็น text นี้จะมีช่องว่างตามที่ทำสีเหลือง
A1=         TRIM Function to remove leading    & trailing spaces from text and     to remove spaces only single spaces between words.        "

เมื่อระบุ TRIM Function ด้วยการเขียน TRIM(A1) ดังรูปที่ 1 
Trim Function
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการใช้ Trim Function 

จาก TRIM Function ทำการตัดช่องว่างหน้าประโยค และลบช่องว่างระหว่างคำทั้ง 3 ตำแหน่ง 


เงื่อนไขการทำงาน TRIM
  • ตัดช่องว่างต้น-ท้ายประโยค
  • ตัดช่องว่างระหว่างคำให้เลือก 1 ช่อง
ผลลัพธ์ใน A2 คือ TRIM Function to remove leading & trailing spaces  from text and to remove spaces only single spaces between words. "

👇👇👇👇👇

Clear Function
คำสั่งนี้เป็นการที่ Clear บรรทัด (line breaks) และอักษรที่ไม่สามารถพิมพ์ได้ (non-printable charactersออกไป 
ไวยากรณ์ =Clear(text)
ตัวอย่าง การใช้คำสั่ง Clear ในการนำบรรทัดและอักษรที่ไม่สามารถพิมพ์ได้ ออก โดยโจทย์ให้ Clear ข้อความในเซลล์ A1 ซึ่งมีข้อความดังนี้
A1="CLEAN function takes a text string and 
returns text that has been "cleaned" of 

line breaks 

and"&CHAR(5)&" other"&CHAR(7)&"  non-printable characters."&CHAR(17) ดังรูปที่ 2
Clear Function in Excel
รูปที่ 2 แสดงข้อความที่ต้องการจะใช้คำสั่ง Clear

จากรูปที่ 2 จะเห็นว่า ประโยคในเซลล์ A1 มีการขึ้นบรรทัดใหม่ที่ return, line, and นอกจากนี้ ยังมีอักษรที่ไม่สามารถพิมพ์ได้ CHAR(5), CHAR(7), CHAR(17) เมื่อใช้คำสั่ง Clear Function จะได้ผลลัพธ์ ดังรูปที่ 3
Clear Function in Excel
รูปที่ 3 แสดงผลลัพธ์การใช้คำสั่ง Clear Function

Share:

ฟังก์ชั่นในการจัดการข้อความ (Text Function) ในโปรแกรม Excel


ในโปรแกรม Excel จะมีฟังก์ชั่น Text หลายตัวเพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์จัดการข้อความได้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งในบทความนี้ ขอนำเสนอการใช้ LEN LEFT MID RIGHT TRIM FIND SEARCH ดังนี้

ฟังก์ชั่นในการนับตัวอักษรทั้งหมดในข้อความที่สนใจ (ในที่นี้ text)
ไวยากรณ์ =LEN(text)

ตัวอย่างที่ 1 ต้องการนับตัวอักษรในข้อความ สามารถเขียนได้ ดังนี้

=LEN("แสดงการนำตัวอักษรจากประโยคนี้")
ผลลัพธ์ คือ 29 ตัวอักษร


A1 = LEN Function returns the number of characters in a text string.
=LEN(A1)
ผลลัพธ์ คือ 63 ตัวอักษร


😁😁😁

ฟังก์ชั่นในการดึงตัวอักษรในข้อความ (text) โดยนับจากทางซ้ายของ Text ไปกี่ตัวอักษร (num_char) 
ไวยากรณ์ =LEFT(text, [num_chars])
หลักการ
  • Text (จำเป็น) คือ ข้อความที่ต้องการจะดึงมาแสดง
  • num_chars (ไม่จำเป็น) คือ จำนวนอักษรต้องการให้แสดง โดยเริ่มนับจากทางซ้ายของข้อความ
ตัวอย่างที่ 2 ต้องการดึงตัวอักษรจากทางซ้ายของข้อความ ดังนี้
A1 = LEFT function extracts a given number of characters from the left side of a supplied text string.
=LEFT(A1,14)
ผลลัพธ์ คือ LEFT function

😁😁😁

ฟังก์ชั่นในการดึงตัวอักษรในข้อความ (text) ซึ่งสามารถเริ่มดึงข้อความได้ตรงไหนของข้อความก็ได้ โดยระบุตำแหน่งที่ต้องการเริ่มให้ดึง (start_num) และ ต้องการดึงไปกี่ตัว (num_chars)
ไวยากรณ์ =MID(text,start_num,num_chars)
หลักการ
  • Text (จำเป็น) คือ ข้อความที่ต้องการจะตัด
  • start_num คือ จำนวนอักษรแรกที่ต้องการให้ตัด
  • num_char คือ จำนวนอักษรสุดท้ายที่ต้องการให้ตัด
ตัวอย่างที่ 3 ต้องการดึงตัวอักษรในข้อความจากตรงกลางไป 10 ตัวอักษร ดังนี้
A1 = MID function extracts a given number of characters from the middle of a supplied text string.
=MID (A1,42,10)
ผลลัพธ์ คือ characters


😁😁😁

ฟังก์ชั่นในการดึงตัวอักษรในข้อความ (text) โดยเริ่มต้นนับจากทางขวาของ Text ไปกี่ตัวอักษร (num_char)
ไวยากรณ์ =RIGHT(text, [num_chars])
ตัวอย่างที่ 4 ต้องการดึงตัวอักษรจากทางขวาของข้อความ ดังนี้
A1 = RIGHT function extracts a given number of characters from the right side of a supplied text string.
=RIGHT(A1,12)
ผลลัพธ์ คือ text string.


😁😁😁

ฟังก์ชั่นในการตัดช่องว่าง ที่อยู่ข้างหน้า และ ข้างหลังของข้อความที่กำหนดไว้ 
ไวยากรณ์ =TRIM(text)
ตัวอย่างที 5 ต้องการตัดช่องว่าง ดังนี้

=TRIM(" TRIM function ")
ผลลัพธ์ คือ TRIM function


😁😁😁

ฟังก์ชั่นในการค้นหาคำที่ต้องการ ว่าอยู่ในตำแหน่งอะไรของข้อความนั้น 
ไวยากรณ์   =FIND(find_text, within_text, [start_num])
หลักการ
  • find_text คือ คำที่คุณต้องการหา
  • within_text คือ คำนั้นต้องการหาจากที่ไหน
  • [start_num] (ไม่จำเป็น) คือ ตำแหน่งที่คุณต้องการเริ่มต้นหา
ตัวอย่างที 6 ต้องการค้นกาคำ ดังนี้
A1 = FIND function returns the position (as a number) of one text string inside another. 

=FIND("number",A1)
ผลลัพธ์ คือ 42

=FIND("returns","FIND function returns the position (as a number) of one text string inside another. ")
ผลลัพธ์ คือ 15

=FIND("FUNCTION",A1)
ผลลัพธ์ คือ #VALUE!


สังเกตของ Find Function

  • ฟังก์ชั่นนี้จะคืนค่าตำแหน่งตัวแรก ของคำที่คุณค้นหา (find_text)
  • ฟังก์ชั่นนี้จะคืนค่าตำแหน่งของคำที่คุณค้นหา (within_text)
  • ฟังก์ชั่นนี้จะแสดง #VALUE! เมื่อค้นหาคำ find_text ไม่พบใน within_text
  • ฟังก์ชั่นนี้จะสนใจตัวอักษรเล็ก-ใหญ่ ถ้าเป็นคำเดียวกันแต่ต่างกันที่ตัวอักษรเล็ก-ใหญ่ เมื่อไม่พบโปรแกรมจะแสดง #VALUE! 
แต่ถ้าไม่ต้องการให้โปรแกรม serious กับตัวอักษรเล็ก-ใหญ่ ต้องใช้ฟังก์ชั่นการค้นหาด้วย Search() 

😁😁😁

ฟังก์ชั่นที่ใช้สำหรับค้นหาคำที่ต้องการ ว่าอยู่ตำแหน่งที่เท่าไหร่ของข้อความที่ต้องการค้นหา โดยใช้การหาแบบ Wildcard 

ไวยากรณ์ =SEARCH(find_text, within_text, [start_num])

ตัวอย่างที่ 7 

A1 = SEARCH function returns the location of one text string inside another. SEARCH returns the position of the first character of find_text inside within_text. Unlike FIND, SEARCH allows wildcards, and is not case-sensitive.

=SEARCH("RETURNS",A1)
ผลลัพธ์ คือ 17

😁😁😁


Share:

ฟังก์ชั่นในการจัดการ Text ในโปรแกรมเอ็กเซล


ในการใช้โปรแกรม Excel ทำงาน เรามักจะเกี่ยวข้องกับตัวเลขเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องจัดการรูปแบบตัวอักษรเช่นกัน ดังนั้น ในบทความนี้ ได้เสนอกฎเกณฑ์ เงื่อนไขของการใช้ฟังก์ชั่น TEXT และ แสดงตัวอย่างการใช้ในแบบต่าง ๆ  

😉😉😉😉😉

TEXT Function 

เป็นฟังก์ชั่นในเอ็กเซลที่ทำการแปลง (Convert) ตัวเลขให้เป็นข้อความ ตามรูปแบบที่คุณ ๆ เป็นผู้กำหนดด้วยตนเอง

ไวยากรณ์ของ Text Function

=TEXT(Value, format_text)
หลักเกณฑ์

  • Value เป็นการระบุตัวเลขที่ต้องการแปลงเป็นข้อความ ซึ่งคุณ ๆ จะใส่ได้ทั้งที่เป็นตัวเลข (Number), วันที่ (Date), การอ้างอิงเซลล์ที่คืนค่ามาเป็นตัวเลข และ ฟังก์ชั่นอื่นที่คืนค่ามาเป็นตัวเลขหรือวันที่
  • Format_text เป็นการระบุรูปแบบที่คุณต้องการจะแสดง ซึ่งควรจะอยู่ในเครื่องหมายคำพูด (quotation marks) เช่น "DD/MMMM/YYYY" เป็นต้น

โดยทั่วไปฟังก์ชั่น TEXT มักถูกนำไปใช้กับเรื่องต่างๆ เช่น การแสดงตัวเลขเป็นข้อความให้สามารถอ่านได้ง่าย แสดงวันที่ในรูปแบบที่ต้องการ หรือ การรวมตัวเลข วันที่ กับข้อความที่คุณต้องการ เป็นต้น ดังนั้น คุณจะไม่สามารถนำฟังก์ชั่น TEXT มาใช้ในการคำนวณอย่างอื่นได้

คำถาม คือ แล้ว Format_text มีเงื่อนไขในการกำหนดรูปแบบหรือไม 😱😱😱😱 

โปรแกรม Excel จะมีเงื่อนไขในการกำหนดรูปแบบข้อความที่ต้องการให้แสดง ซึ่งในบทความนี้เราจะนำเสนอเฉพาะที่เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้บ่อย ดังนี้ 



ส่วนของวันที่ (Date) และเวลา (Time) มีเงื่อนไขในการกำหนดรูปแบบ ดังนี้

รูปแบบคำอธิบายตัวอย่างการใช้รูปแบบ
dแสดงวันd - แสดงตัวเลข 1 - 2 หลัก โดยไม่มีศูนย์นำหน้า เช่น 1 ถึง 31
dd - แสดงตัวเลข 1-2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 01 ถึง 31
ddd - แสดงตัวอักษรย่อ เช่น จ. ถึง อา. หรือ Mon ถึง Sun
dddd - แสดงชื่อเต็ม เช่น จันทร์ ถึง อาทิตย์ หรือ Monday ถึง Sunday
mแสดงเดือน m - แสดงตัวเลข 1 - 2 หลัก โดยไม่มีศูนย์นำหน้า เช่น 1 ถึง 12
mm - แสดงตัวเลข 1-2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 01 ถึง 12
mmm - แสดงตัวอักษรย่อ 3 ตัวอักษร เช่น ม.ค ถึง ธ.ค. หรือ Jan ถึง Dec 
mmmm - แสดงชื่อเต็ม เช่น มกราคม ถึง ธันวาคม หรือ January ถึง December
yแสดงปีyy - แสดงตัวเลข 2 หลัก เช่น  60 หมายถึง 2560 หรือ 16 หมายถึง 2016 
yyyy - แสดงตัวเลข 4 หลัก เช่น  2560, 2016
hแสดงชั่วโมงh - แสดงตัวเลข 1-2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 1 ถึง 24
hh - แสดงตัวเลข 2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 01 ถึง 24
mแสดงนาทีm - แสดงตัวเลข 1-2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น ถึง 60
mm - แสดงตัวเลข 2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 01 ถึง 60)
sแสดงวินาทีs - แสดงตัวเลข 1-2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 1 ถึง 60
ss - แสดงตัวเลข 2 หลัก โดยมีศูนย์นำหน้า เช่น 01 ถึง 60
AM/PMแสดงเวลาเป็น 12 ชั่วโมง, ลงท้าย "AM" หรือ "PM"
นอกจากนี้ คุณสามารถใส่เครื่องหมายพิเศษ ลงไปในรูปแบบที่ต้องการได้ด้วย ดังนี้ 
สัญลักษณ์ความหมาย
+ and -เครื่องหมายบวกและลบ
( )เครื่องหมายวงเล็บ
:เครื่องหมายทวิภาค (Colon)
^เครื่องหมายหมวก (Caret)
'เครื่องหมายลูกน้ำ (Apostrophe)
{ }เครื่องหมายปีกกา (Curly brackets)
< >เครื่องหมายมากกว่าและน้อยกว่า (Less-than and greater than signs)
=เครื่องหมายเท่ากับ (Equal sign)
/เครื่องหมายทับ (Forward slash)
!เครื่องหมายอัศเจรีย์ (Exclamation point)
&เครื่องหมายแอนด์ (Ampersand)
~เครื่องหมายตัวหนอน (Tilde)
ช่องว่าง (Space character)
ตัวอย่างที่ 1 การเขียน Text Function ต่าง ๆ เช่น ตัวเลข วันที่
Text Function in Excel
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการเขียน Text Function
จากรูปที่ 1 จะมีตัวอย่างการเขียนแปลงตัวเลข วันที่ให้เป็นข้อความที่สามารถเข้าใจได้ง่าย 

😁😁😁😁😁

ตัวอย่างที่ 2 การเขียน Text Function มารวมกับข้อความ ซึ่งสามารถทำได้ 2 แบบ ดังนี้ 

แบบที่ 2.1: เป็นการเขียน Text Function มารวมกับข้อความธรรมดา จะใช้ & ในการผสานข้อความกับฟังก์ชั่นนั้นเอง


="วัน" &TEXT(14/10/2016,"dddd"
ผลลัพธ์ คือ วันเสาร์

แบบที่ 2.2: เป็นการนำ CONCATENATE Function มารวมกับ Text Function (ตัวที่พื้นเป็นสีเทา)


=CONCATENATE("วัน",TEXT(14/10/2016,"dddd"))
ผลลัพธ์ คือ วันเสาร์ เหมือนกันกับแบบที่ 2.1

ปล. ใครไม่รู้เรื่อง CONCATENATE สามารถไปทบทวนในบทความ การผสานหรือรวมข้อความด้วยฟังก์ชั่น CONCATENATE ของโปรแกรม Excel

👀 👀 👀 👀 👀
Share:

SUMPRODUCT() ใช้ในการหาผลรวมของคอลัมน์ตั้งแต่ 2 คอลัมน์คูณกัน


จากบทความ การหาผลรวมด้วย SUM() / SUMIF() / SUMIFS() ใน Excel อาจมีบางคนที่ว่า ก็ยังต้องทำงานหลายขั้นตอน ในการหาผลรวมที่มีเงื่อนไขอยู่ดี 


แล้วอะไร คือ การทำงาน 2 ขั้นตอนละ 😫😫


SumProduct in Excel
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการทำงาน 2 ขั้นตอน

การทำงาน 2 ขั้นตอนที่ว่านั้น ก็คือ คุณต้องนำราคา (Price) มาคูณกับจำนวนผลการขาย (Amount) ก่อน ถึงจะหาผลรวมได้นั้นเอง (คุณต้องทำงานที่เป็นตัวเลขสีส้ม คอลัมน์ D) 😨😨 แล้วจะมีวิธีการอะไรที่ลดขั้นตอนการทำงานลงได้บ้างละ 

ในบทความนี้ อธิบายวิธีการทำงานที่จะลดขั้นตอนการทำงานตามตัวอย่างข้างบนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่เดียว ซึ่งวิธีการนั้น ก็คือ การเขียนฟังก์ชั่น SUMPRODUCT() 


SUMPRODUCT() Function

หมายถึง ฟังก์ชั่นที่ใช้ในการหาผลรวม (บวก) ของคอลัมน์ตั้งแต่ 2 คอลัมน์คูณกัน

ไวยากรณ์
=SUMPRODUCT(array1 [array2], [array3], ... )
หลักการ

  • SUMPRODUCT ต้องการข้อมูลที่เป็น array หรือ Range เช่น เป็นข้อมูลในคอลัมน์
  • ถ้ามีมากกว่า 1 คอลัมน์ ข้อมูลนั้น ต้องมีจำนวนแถวเท่ากัน
  • เราสามารถเพิ่มความยืดหยุ่น โดยการกำหนดเงื่อนไขในแต่ละคอลัมน์ได้ โดยการกำหนดเงื่อนไข และ ใช้เครื่องหมายคูณ (*) เป็นตัวเชื่อม เงื่อนไขเหล่านั้น
เมื่อคุณรู้ไวยากรณ์ และหลักการของ SUMPRODUCT() แล้ว ปัญหาข้างต้น (ตามรูปที่ 1) เราสามารถลดขั้นตอนการทำงาน จาก 2 ขั้นตอน เหลือเพียง 1 ขั้นตอน ด้วยการเขียนฟังก์ชั่น ดังนี้

=SUMPRODUCT(B2:B6,C2:C6)

คุณ ๆ จะพบว่า ในวงเล็บของฟังก์ชั่นนี้เป็นไปตามหลักการของ SUMPRODUCT คือ มีอากิวเมนต์ 2 ตัว ที่เป็น Array หรือ Range และจำนวนแถวของทั้ง 2 มีจำนวนเท่ากัน นั้นก็คือ B2:B6 และ C2:C6 แต่ถ้าการคำนวณนั้นมีเงื่อนไขเพิ่มเข้ามา เราจะเขียนฟังก์ชั่นนี้อย่างไร

ตัวอย่างที่ 1 ต้องการหาผลรวมของยอดการขายทั้งหมดในตาราง (รูปที่ 1) ยกเว้น Shirt สามารถเขียนได้ ดังนี้

=SUMPRODUCT((A3:A6<>"Shirt")*B3:B6,C3:C6)


คุณ ๆ จะพบว่า เงื่อนไขที่เพิ่มขึ้นมาจะเขียนไว้ข้างหน้า Array หรือ Range และใช้เครื่องหมายคูณ (*) เป็นสัญลักษณ์ในการเชื่อมนั้นเอง

ตัวอย่างที่ 2 ต้องการหาผลรวมยอดการขายทั้งหมดในตาราง (รูปที่ 1) ยกเว้น Shirt และ Skirt  สามารถเขียนได้ ดังนี้

=SUMPRODUCT((A3:A6<>"Shirt")*(A3:A6<>"Skirt")*B3:B6,C3:C6)

จากตัวอย่างที่ 2 นี้ มีเงื่อนไข 2 เงื่อนไขเข้ามา เราก็จะใช้เครื่องหมายคูณ (*) เป็นตัวเชื่อมกับเงื่อนไขทั้ง 2 เช่นกัน



Share:

การผสานหรือรวมข้อความด้วยฟังก์ชั่น CONCATENATE ของโปรแกรม Excel

รวมคำ Excel

Concatenate Function
เป็นฟังก์ชั่นในการผสาน/รวมคำที่เป็นข้อความ (Text) เข้าด้วยกันในเซลล์เดียว นอกจากนั้น ยังสามารถนำฟังก์ชั่นอื่น แทรกเข้าไปใน Concatenate Function ได้เช่นกัน

ไวยากรณ์
  =CONCATENATE(text1, [text2], …)
กฏการใช้ 
  1. ฟังก์ชั่นนี้ต้องประกอบด้วยอาร์กิวเมนต์ที่เป็นข้อความ (String) อย่างน้อย 1 ตัว 
  2. ฟังก์ชั่นนี้ สามารถผสาน/รวมข้อความได้ถึง 225 ข้อความ (Strings) หรือตัวอักษรได้ถึง 8,192 ตัวอักษร (Characters)
  3. แม้ข้อความในเซลล์ก่อนที่จะใช้ฟังก์ชั่นนี้จะไม่เป็นข้อความ (String) แต่ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากผ่านฟังก์ชั่นนี้แล้ว จะเป็นข้อความ (String) ทั้งหมด
  4. ฟังก์ชั่นนี้ ไม่รู้จักอาร์กิวเมนต์ที่เป็น Array แบบนี้ =CONCATENATE(A1:A3) ดังนั้น ควรเขียนแบบนี้แทน =CONCATENATE(A1, A2, A3) 
  5. เมื่อคุณเขียนฟังก์ชั่นนี้ Error ผลลัพธ์ที่โปรแกรมแสดงออกมา คือ #VALUE!
୫୫୫୫୫୫୫

ตัวอย่างที่ 1 การรวมข้อมูล String จากเซลล์หลายเซลล์ เป็นเซลล์เดียว ดังรูปที่ 1
การใช้ concatenate ใน excel
รูปที่ 1 แสดงการใช้ฟังก์ชั่น concatenate

จากรูปที่ 1 เราได้เขียนฟังก์ชั่นในเซลล์ E1 ดังนี้ 
=concatenate(A1,B1,C1.D1) 

ข้อควรระวัง ผลลัพธ์จากการใช้ฟังก์ชั่นนี้ จะไม่มีการเว้นช่องว่างระหว่างอาร์กิวเมนต์ (Text 1, Text 2,....) ให้ ดังนั้น ถ้าคุณต้องการผสาน/รวมข้อความ ก็ควรมีการเว้นช่องว่างเอง " " หรือ เครื่องหมายที่ใช้คั่นข้อความต่างๆ เช่น , / - เป็นต้น ดังนี้
=CONCATENATE(A1," ",B1,"-",C1,"-",D1) หรือ 
=CONCATENATE(A2," ",B2," / ",C2," / ",D2) หรือ 
=CONCATENATE(A3," , ",B3," , ",C3," , ",D3) 
ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงการใช้ฟังก์ชั่น concatenate 


ตัวอย่างที่ 2 การรวมเซลล์ที่เก็บข้อความ (String) และเซลล์ที่เก็บวันที่ (Date) ให้อยู่ในเซลล์เดียว

ข้อควรระวัง ฟังก์ชั่น Concatenate นี้จะไม่สามารถใช้ฟังก์ชั่นอื่นภายในฟังก์ชั่น Concatenate ได้ แต่หากจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชั่นอื่น คุณ ๆ สามารถใช้ Text() รวมด้วยได้ ดังรูปที่ 3
การใช้ concatenate ใน excel
รูปที่ 3 การใช้ concatenate ใน excel
จากรูปที่ 3 ได้คุณ ๆ ต้องรวมคำใน A1 B1 ในเซลล์ C1 โดยต้องระบุวันที่ปัจจุบันของเครื่อง ก็ต้องใช้ฟังก์ชั่น Today() แต่เมื่อต้องเขียนฟังก์ชั่นอื่นในฟังก์ชั่น Concatenate ดังนั้น คุณต้องแปลงค่าที่ได้จากฟังก์ชั่น Today() ด้วย Text() ดังนี้
=CONCATENATE(A1,B1," ",TEXT(TODAY(),"DD MM YYYY"))

นอกจาก ฟังก์ชั่น Concatenate โปรแกรม Excel ยังมี "&" operator เพื่อใช้ในการรวม ๆ คำได้เช่นกัน 
="วันนี้เป็นวัน " & "07 10 2017"

แล้วระหว่าง Concatenate และ "&" operator อะไรที่จะมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
Share:

การนับสิ่งที่สนใจแบบหลายเงื่อนไข ไว้...ไวในพริบตา ด้วยสูตร CountIFS() ตอนที่ 2

จากบทความ นับสิ่งที่สนใจแบบมีเงื่อนไขในพริบตา...ด้วยสูตร CountIF() ตอนที่ 1 คุณ ๆ รู้จักการใช้ COUNTIF ไปแล้ว ในตอนนี้นำเสนอ COUNTIFS (เติม S) เพื่อใช้กับกรณีเงื่อนไขมากกว่า 1 เงื่อนไข 

ทั้ง 2 สูตรนี้ ถูกนำมาใช้สลับกันบ่อยมาก เพราะว่าหน้าตาที่ดูคล้ายกันมาก ๆ และยังมีคุณสมบัติในการนับเซลล์ด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ตัวเลข (numbers), การอ้างอิงเซลล์ (call reference), วันที่ (dates), ตัวอักษร (text), สัญลักษณ์ (wildcard characters), ช่องว่าง (non-blank cells) เป็นต้น

เป้าหมายของบทความนี้ เพื่อชี้ให้เห็นความแตกต่างของทั้ง 2 สูตร จนทำให้คุณสามารถเลือกสูตรไปใช้ได้เหมาะสมกับแต่ละงานนั้นเอง

ความแตกต่างของ COUNTIF และ COUNTIFS 
COUNTIF() คือ การนับช่วงเซลล์ ตามเงื่อนไขเพียง 1 เงื่อนไข
COUNTIFS() คือ การนับช่วงเซลล์ ตามเงื่อนไขเพียง 1 เงื่อนไข หรือหลายเงื่อนไขก็ได้

ไวยากรณ์ (Syntax)
COUNTIFS(criteria_range1, criteria1, [criteria_range2, criteria2]…)
หลักการ

  • criteria_range1 - กำหนดช่วงที่ต้องการนับ (เกณฑ์ที่ 1)
  • criteria1 - กำหนดเงื่อนไขในรูปแบบต่าง ๆ (เงื่อนไขที่ 1) เช่น ตัวเลข (numbers), การอ้างอิงเซลล์ (call reference), วันที่ (dates), ตัวอักษร (text), สัญลักษณ์ (wildcard characters), ช่องว่าง (non-blank cells)
  • [criteria_range2, criteria2] - เกณฑ์ที่ 2 และ เงื่อนไขที่ 2


เมื่อคุณ ๆ เข้าใจไวยากรณ์ และ หลักการ แล้ว ต่อไปเป็นตัวอย่างการประยุกต์ COUNTIFS ในรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

  • การนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยตัวอักษร (text)  
  • การนับตัวเลขระหว่าง X และ Y
  • การนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยการอ้างอิงเซลล์ (call reference)
  • การนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยสัญลักษณ์ (wildcard characters)
  • การนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยวันที่ (dates)


ตัวอย่างที่ 1 วิธีการนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยตัวอักษร (textดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการนับเซลล์หลายเงื่อนไขด้วยตัวอักษร
จากตัวอย่างที่ 1 ผลลัพธ์จะได้ศูนย์ (0) เพราะต้องการนับเซลล์ที่ต้องมีชื่อรายการอาหารทั้ง 2 ซึ่งเขียนเป็นสูตรได้ ดังนี้
=COUNTIFS(B2:B16,"ข้าวผัดหมู",B2:B16,"ข้าวผัดกุ้ง")

แต่ถ้าโจทย์เดียวกันนี้ คุณใช้สูตร COUNTIF ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น 2 เพราะโปรแกรมจะเลือก B4 + B6 ซึ่งเขียนเป็นสูตรได้ ดังนี้
=COUNTIFS(B2:B16,"ข้าวผัดหมู")+COUNTIFS(B2:B16,"ข้าวผัดกุ้ง")
👱👱👱

ตัวอย่างที่ 2 วิธีการนับตัวเลขระหว่าง X และ Y
นับเซลล์ด้วย CountIFS โดยมีหลายเงื่อนไข
รูปที่ 2 แสดงการใช้สูตร COUNTIFS  
จากรูปที่ 2 ต้องการให้นับเซลล์ที่ตรงกับเงื่อนไขที่ 1 และ 2 ที่หมายความว่า นับจำนวนสินค้าที่ยังมีสินค้าอยู่ใน Stock มากกว่าศูนย์ชิ้น และเป็นสินค้าที่ยังไม่ได้ขายไปสักชิ้นอยู่เท่าไร 

เขียนสูตรตามหลักไวยากรณ์ ดังนี้
=COUNTIFS($B$2:$B$21,">0",$C$2:$C$21,"=0")

จากตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าสูตร COUNTIFS เป็นเครื่องมือใช้นับเซลล์ที่มีเงื่อนไขแบบนี้ได้อย่างดีที่เดียว

แต่ถ้าคุณ ๆ ต้องการนับเซลล์ ที่มีหลายเงื่อนไข โดยที่มีอย่างน้อย 1 เงื่อนไขที่เป็นจริง คุณจะเขียนสูตรได้อย่างไร !!!!
👱👱👱

ตัวอย่างที่ 3 วิธีการนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขการอ้างอิงเซลล์ (call reference) จากรูปที่ 2 เราเพิ่ม D22 ที่เขียน 0 ไว้ แล้วเราก็เปลี่ยนวิธีการเขียนใหม่

เขียนสูตรตามหลักไวยากรณ์ ดังนี้
=COUNTIFS($B$2:$B$21,">"&D22,$C$2:$C$21,"="&D22)

👱👱👱

ตัวอย่างที่ 4 วิธีการนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยสัญลักษณ์ (wildcard characters)
จากรูปที่ 1 ถ้าเรานับรายการอาหารที่มีคำบางส่วนเป็นส่วนประกอบสามารถใช้แบบตัวอย่างนี้ได้เลย
=COUNTIFS(B2:B16,"*หมู*",B2:B16,"*กุ้ง")
ปล. ตัวอย่างที่ 3 นี้จะได้ผลลัพธ์เหมือนกับตัวอย่างที่ 1 [=COUNTIFS(B2:B16,"ข้าวผัดหมู",B2:B16,"ข้าวผัดกุ้ง")]

👱👱👱

ตัวอย่างที่ 5 วิธีการนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยวันที่ (dates)
การนับเซลล์หลายเงื่อนไข
รูปที่ 3 แสดงตัวอย่างการนับเซลล์แบบหลายเงื่อนไขด้วยวันที่
เขียนสูตรตามหลักไวยากรณ์ได้ ดังนี้

=COUNTIFS(E2:E16,">14/09/2560",E2:E16,"<20/09/2560")
ผลลัพธ์จากสูตรนี้จะนับเซลล์ตาม E7 ถึง E9


นี้เป็นตัวอย่างแบบต่าง ๆ สำหรับใช้นับเซลล์หลายเงื่อนไข เพื่อให้คุณ ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
Share:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Dashboards คืออะไร มีกี่ประเภท

Dashboards คืออะไร และสามารถช่วยเราในการทำงานอย่างไร Dashboards คือ การนำข้อมูลมาสร้างรายงานที่เป็นภาพรวมทางธุรกิจ ให้ผู้บริหารสามารถ...

Recent Posts

Keywords

เอ็กเซล Data-Management Functions การจัดการข้อมูลในเอ็กเซล Blogger Basic-Excel Create-Blogger การจัดการข้อมูล Excel Conditional Formatting excel Data-Analysis Drop down list Excel สูตร Computer knowledge Feed RSS Atom คือ อะไร Index Match function excel SEO Search Console Search engine chart excel คือ excel data validate paste option Excel vlookup approximate Match exact Match vlookup function excel การใช้ concatenate ใน excel สร้าง drop down list สร้าง กราฟ เอ็กเซล Advance Filter Auto Filter by Color Auto Filter by Text Content Syndication DATEDIF() Datedif Function Excel SUM Function Excel SUMIF Function Excel SUMIFS Function Formula Values Transpose Formatting Function excel Gantt Chart excel Gantt Chart excel ทำยังไง HLOOKUP Icon Set Index Match function คือ Knowledge Line Chart Scatter Chart LogicFunction Match function excel Name Manager Paste Special Pie Doughnut chart excel Robots Header Tag Sumproduct function การใช้ สูตร เอ็กเซล Template Text Function Excel Trim Clear Function Excel Values column chart excel condition countif excel count if excel 2010 countifs data validation excel countifs เงื่อนไข ตัวอักษร มากกว่า น้อยกว่า excel index match formula excel match function reference cell excel sort and filter excel เบืื้องต้น excel เบื้องต้น flash fill excel คือ flash fill คือ อะไร function คือ highlight in dropdownlist index excel match vlookup index match ใช้ยังไง lookup excel กราฟ แผนภูมิ Excel การ เรียง ข้อมูล excel การ เรียง ลําดับ ข้อมูล excel การกรองข้อมูล Excel การตัดข้อความ เอ็กเซล การทํา chart excel การทําcontrol chart excel การสร้าง ตาราง กราฟ excel การสร้าง chart excel การสร้างฟีต การหาผลรวมในเอ็กเซล การเผยแพร่เนื้ือหา การเพิ่ม Subscription ให้ Blogger การแยก ข้อความ การใช้ if การใช้ index match excel การใช้งาน Subtotal outline excel การใช้ฟังก์ชั่น concatenate การใช้แผนภูมิ chart excel ค้นหาข้อมูล เอ็กเซล ค้นหาเลขคอลัมน์ ค้นหาเลขแถว เอ็กเซล ตัดช่องวางในเอ็กเซล ผูกเว็บกับ Google Analytics ฟังก์ชั่น Text การใช้ วิธีการตัดข้อความใน Excel วิธีทำ แผนภูมิ วงกลม Excel สูตร COUNTIF สูตรexcel concatenate สูตรการหาผลรวมใน Excel หาผลต่างระหว่างเดือน เพิ่มรายการใน Data Validation แผนภูมิ คอลัมน์ excel แผนภูมิคอลัมน์ เรียงซ้อน ใส่สีให้ dropdownlist