การหาผลรวมด้วย SUM() / SUMIF() / SUMIFS() ใน Excel

ปกติในโปรแกรม Excel จะมีฟังก์ชั่นในการหาผลรวมที่อยู่ในช่วง (Range) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถลดเวลาในการจัดการข้อมูลจำนวนมากๆ ได้อย่างสะดวกขึ้น

1. ฟังก์ชั่น SUM

ไวยากรณ์ =SUM(number1,[number2],…])
ตัวอย่าง เป็นการหาผลรวมของการขายสินค้าทั้งหมด ดังรูปที่ 1

รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างการใช้ SUM หาผลรวม


จากรูปที่ 1 ที่เซลล์ E10 คุณสามารถเขียนฟังก์ชั่นเพื่อหาผลรวมของการขายสินค้าทั้งหมด =SUM(E3:E9) ซึ่งระบบจะทำการหาผลรวมใน E3 ถึง E9 นั้นเอง 

แต่ถ้าคุณต้องการคำนวณโดยใส่เงื่อนไขบางอย่างละ ตัวอย่างเช่น คำนวณเฉพาะผลการขายสินค้าที่เป็น Shirt คุณจะทำอย่างไร ???

เพื่อให้เป็นการง่าย ไม่ต้องมาหาผลรวมที่ละสินค้า หรือว่ามาทำการลบผลการขายสินค้าที่เป็น Shirt ออกไป โปรแกรม Excel ได้มีฟังก์ชั่น SUMIF() 
😊😊😊😊😊

2. ฟังกชั่น SUMIF()

SUMIF() ใช้สำหรับการหาผลรวมของช่วงที่ต้องการ โดยต้องสอดคล้องกับเงื่อนไขที่กำหนด ... (เริ่มมีเงื่อนไขเข้ามากำหนด ไม่งั้นจะไม่หาผลรวม)

ไวยากรณ์ =SUMIF(Range, Criteria, [sum_range])
หลักการ
Range หมายถึง ช่วงเซลล์ที่มีเงื่อนไขที่ระบุใน criteria
Criteria หมายถึง เงื่อนไขที่ระบุ โดยจะเป็นตัวเลขหรือความข้อความก็ได้
Sum_rang หมายถึง ช่วงเซลล์ที่ต้องการให้หาผลรวมตามเงื่อนไขที่เราระบุไว้

ตัวอย่าง จากตัวอย่างเดิม ต้องการหาผลรวมของการขายสินค้าทั้งหมด ยกเว้นสินค้าที่เป็น Shirt คุณสามารถเขียนฟังก์ชั่นได้ ดังนี้

=SUMIF(A3:A9,"<>shirt",E3:E9)

ถ้าโจทย์ในการทำงานเปลี่ยนไป ต้องการหาผลรวมเฉพาะกระโปรง (Skirt) และ ราคาต่อชิ้นต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 800 บาทขึ้นไป (เงื่อนไขในการคำนวณมากกว่า 1 เงื่อนไข) คุณจะทำอย่างไร ???

คุณ ๆ คงจะเริ่มเห็นข้อจำกัดของฟังก์ชั่นนี้กันแล้วใช่ไหม 😁😁 ข้อจำกัดของมัน คือ SUMIF() สามารถระบุได้เพียง 1 เงื่อนไขเท่านั้น 

😱😱😱😱😱😱

3. ฟังก์ชั่น SUMIFS()

SUMIFS() ใช้สำหรับการหาผลรวมของช่วงที่ต้องการ ซึ่งสามารถกำหนดได้หลายเงื่อนไข ... (เมื่อมีเงื่อนไขมากกว่า 1)

ไวยากรณ์ =SUMIFS(sum_range, criteria_range1, criteria1, [criteria_range2, criteria2], …)

หลักการ
Sum_range (จำเป็น) คือ ช่วงของเซลล์ที่ต้องการหาผลรวม 
Criteria_range1 (จำเป็น) คือ ช่วงที่จะถูกทดสอบจะใช้ Criteria1
Criteria1 (จำเป็น) คือ เกณฑ์ที่กำหนดว่าเซลล์ใดใน Criteria_range1 จะถูกมีเงื่อนไขเป็นอะไรในการพิจารณา เช่น ">32", "แอปเปิ้ล“, "32“
Criteria_range2, criteria2, …    (ระบุหรือไม่ก็ได้) คือ ช่วงเพิ่มเติมและเกณฑ์ที่สัมพันธ์กันของช่วง คุณสามารถใส่ได้ถึง 127 คู่ของช่วง/เงื่อนไข

ตัวอย่าง เป็นการหาผลรวม โดยโจทย์กำหนดเงื่อนไขไว้ 2 เงื่อนไข คือ ต้องไม่ใช่สินค้าที่เป็น Skirt (แทนด้วยสีเขียว) และ สินค้านั้นต้องมีราคาสินค้ามากกว่าหรือเท่ากับ 800 (แทนด้วยสีฟ้า) 

รูปที่ 2 แสดงสูตรที่คำนวณเฉพาะสินค้ากระโปร่งและรามามากกว่า 800 บาท
จากตัวอย่างของการหาผลรวมทั้ง 3 ฟังก์ชั่น หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กันไม่มากก็น้อยนะคะ 
Share:

การใช้ Logic Functions ใน Excel

Logic Functions คือ ฟังก์ชั่นเชิงตรรกศาสตร์ ที่ Excel เตรียมไว้

ในบทความนี้ เสนอฟังก์ชั่นที่ช่วยให้คุณทำการตัดสินใจในสูตร อย่างเช่น AND() NOT() OR() และ IF() 

ข้อควรระวังของการเขียนสูตรใน Excel จะต้องไม่มีช่องว่าง จนกว่าจะเขียนทั้งสูตรเสร็จสิ้น


👯👯👯👯👯👯👯👯


AND() เป็นการทดสอบตรรกะ/เงื่อนไขว่าต้องเป็นจริงทั้งหมด 

ไวยากรณ์ =AND(logical1, [logical2])



หลักการ

Logical1 คือ เงื่อนไขที่ต้องการทดสอบแรก

Logical2 คือ เงื่อนไขที่ต้องการทดสอบสอง 



ตัวอย่าง

AND($B3>=25,$B3<=30)
หมายถึึง เซลล์ B3 มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 25 และ B3 มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30

👯👯👯👯👯👯👯👯

NOT() เป็นการทดสอบตรรกะ/เงื่อนไข ว่าต้องเป็นเท็จ

ไวยากรณ์ =NOT(logical1)

ตัวอย่าง
NOT($B3>=25)
หมายถึง เซลล์ B3 ต้องไม่มี ค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 25

👯👯👯👯👯👯👯👯

OR() เป็นการทดสอบตรรกะ/เงื่อนไข ว่าต้องมีอย่างน้องหนึ่งตัวที่เป็นจริง

ไวยากรณ์ =OR(logical1, [logical2])

ตัวอย่าง
OR($B3>=25,$B3<=30)
หมายถึง เซลล์ B3 ต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 25 หรือ มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 

👯👯👯👯👯👯👯👯

IF() เป็นฟังก์ชั่นที่ใช้ทดสอบตรรกะ/เงื่อนไขว่าเป็นจริงหรือเท็จ และเปรียบเทียบตรรกะ/เงื่อนไขกับค่า Value ที่ระบุไว้


ไวยากรณ์ =IF(logical_test,Value_if_true,Value_if_False)

หลักการ
logical_test เป็นการระบุ ตรรกะ/เงื่อนไข ที่ต้องการตรวจสอบ 
value_if_true เป็นการระบุ ค่าที่โปรแกรมต้องส่งกลับ เมื่อเงื่อนไขเป็นจริง (จะใส่เป็นค่าหรือสูตรก็ได้) 
value_if_false เป็นการระบุ ค่าที่โปรแกรมต้องส่งกลับ เมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ (จะใส่เป็นค่าหรือสูตรก็ได้)

ตัวอย่าง

=IF($B13>100,"มากกว่า","น้อยกว่า")  
หมายถึง ถ้าเซลล์ B13 มีค่ามากกว่า 100 จะแสดงข้อความ มากกกว่า แต่ถ้าเซลล์ B13 มีค่าน้อยกว่า 100 จะแสดงข้อความ น้อยกว่า

=IF($B13>100,$B13+3,$B13+10)
หมายถึง ถ้าเซลล์ B13 มีค่ามากกว่า 100 จะแสดงผลรวมของค่าในเซลล์ B13 กับ 3 แต่ถ้าเซลล์ B13 มีค่าน้อยกว่า 100 จะแสดงผลรวมของค่าในเซลล์ B13 กับ 10

👯👯👯👯👯👯👯👯

ทั้ง 3 ฟังก์ชั่น คือ AND OR NOT สามารถนำไปใช้คู่กับ ฟังก์ชั่น IF ก็จะมำให้สูตรที่คุณเขียนมีลูกเล่นมากขึ้น 

ตัวอย่าง การใช้ IF และ AND
เขียนสูตรที่ตรวจสอบคะแนนของนักเรียนแต่ละวิชาต้องมีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 20 คะแนน ทุกวิชาถึงจะผ่าน
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างผลการตรวจสอบคะแนนว่าผ่านหรือไม่ผ่านใน Excel

ซึ่งคุณสามารถเขียนสูตรที่คอลัมน์ D ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงสูตรที่เขียนใน Excel
จากรูปที่ 2 เป็นการใช้ IF และ AND เพื่อเขียนสูตร โดยในเซลล์ 
D2 หมายถึง ถ้า เซลล์ B2 และ C2 มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 20 ให้แสดงคำว่า ผ่าน
เมื่อคุณเขียนสูตรเสร็จแล้วต้องการใช้สูตรเดียวกันกับเซลล์ D3-D5 ให้คุณๆ ทำการ Copy ไปวางได้ทันที่ โดยสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง เทคนิคการคัดลอกข้อมูลในโปรแกรม Excel





Share:

ประเภทของแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) สามารถแบ่งได้กี่ประเภท

เมื่อคุณสร้างบทความใน Web หรือ Blog ของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณก็คงหวังจะให้ Search Engine ไม่ว่าจะเป็น Google / Bing / Yahoo / Ask.com / AOL เป็นต้น มาทำความรู้จัก Web หรือ Blog ของคุณ



ในบทความนี้ เราจะเสนอวิธีหนึ่งที่คุณต้องทำ นั้นก็คือ การสร้าง Site Map หรือ แผนผังเว็บไซต์ นั้นเอง ซึ่ง Site Map จะมีหน้าที่อธิบายถึง โครงสร้างของเว็บไซต์ ทั้งหมด อ่านมาถึงตรงนี้ มีใคร งง กับคำว่าโครงสร้างของเว็บไซต์หรือไม่ ... ถ้าคุณๆ ฟังแล้วนึกภาพไม่ออก เราขอเรียกสิ่งนี้ว่ามันเหมือนกับหน้าสารบัญของเว็บไซต์ 

Search Engine จะทำการเก็บข้อมูลและตรวจสอบ Meta-tag ไฟล์ .txt ข้อมูลเนื้อหา และคำค้นต่างๆ 

"SEO ชอบ Sitemap ประเภทไหนละ !!!"

Sitemap หรือ แผนผังเว็บไซต์ จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภท

1. URLlist (Text Sitemap) เป็น Sitemap ที่สร้างด้วยการ List หน้า Page ไว้ในเว็บไซต์ให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างง่าย ตามรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่างรูปแบบ Sitemap ที่สร้างแบบ list หน้าเพจต่างๆ

2. HTML Sitemap เป็น Sitemap แบบที่มีโครงสร้าง ที่สามารถบอกข้อมูลให้ทั้งผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และ Search Engine Bot 

อะไรที่เพิ่มลงไปใน HTML Sitemap

2.1 รูปแบบที่มีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการเรียงลำดับชั้นไว้แล้ว ทำให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาของ Site ได้อย่างรวดเร็ว
2.2 สามารถจัดการ anchor text ได้ หรือ Backlink คือ การทำให้ข้อความธรรมดาเป็นข้อความที่ Link ไปเว็บไซต์หรือหน้าบทความที่ต้องการได้ เช่น <a href="url">Anchor Text</a> ดังนั้น คุณๆ ควรคิด Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ที่จะเชื่อมโยงไปหรือเนื้อหาในบทความ
2.3 ควรทำเป็น Static Page เพื่อให้ Bot สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างถูกต้อง

3. XML Sitemap เป็น Sitemap แบบ ไม่มี โครงสร้าง ซึ่งผู้อ่านจะไม่สามารถเห็นว่ามีเพจอะไรบ้าง 
😲😲😲😲 
เมื่อผู้ใช้ไม่เห็น Sitemap แบบนี้ .... แล้วจะสร้างไปทำไม ... ก็มีไว้บอกข้อมูลเว็บไซต์เรากับ Search Engine นั้นเอง 

Share:

5 ขั้นตอนสร้าง Site Map ใน Blogger ด้วย Search Console

ในการสร้าง Blogger มาหนึ่ง Blog คุณต้องมีการสร้าง Sitemap เพื่อให้ข้อมูลกับ Search engine ว่า Blog ของเรามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยภายใน Blogger มีเมนูนำคุณไปสู่ Google Search Console ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการกับ Sitemap ได้อย่างรวดเร็ว


วิธีการสร้าง Sitemap ด้วย Google Search Console

ขั้นตอนที่ 1. เข้า Dashboard ของ Blogger 
ขั้นตอนที่ 2. เลือกเมนู "การตั้งค่า" และ เลือกเมนูย่อย "ค่ากำหนดของการค้นหา" 
ที่ด้านขวาของหน้าจอให้มองหาส่วน "โปรแกรมรวบรวมข้อมูลและการจัดทำดัชนี" 
ให้คลิก "แก้ไข" ที่ส่วน Google Search Console ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงช่องทางการเข้าไปจัดการ Google Search Console

ขั้นตอนที่ 3. ระบบจะเปิด https://www.google.com/webmasters/tools/ ให้คลิกปุ่มเพิ่มพร๊อพเพอร์ตี้ ด้วยการพิมพ์ชื่อเว็บ Blog ของเรา ซึ่งบทความนี้ก็ต้องพิมพ์ https://www.happylearntool.blogsport.com/ ระบบจะไปค้นหาและนำเว็บคุณมาแสดง ดังรูปที่ 2

รูปที่ 2 แสดงหน้าที่ Google Search Console ไปค้นหาเว็บตามที่ระบุไปมาแสดง

ให้คุณคลิกเข้าไปที่ชื่อเว็บไซต์ของคุณ ระบบจะแสดงรายละเอียดแผงควบคุม และให้คลิกส่วนของ แผนผังไซต์ ที่ด้านขวาของจอดัง รูปที่ 3

รูปที่ 3 แสดงหน้าแผงการควบคุม

ขั้นตอนที่ 4.
 คลิกปุ่ม เพิ่ม/ทดสอบแผนผังเว็บไซต์ ระบบจะแสดง PopUp ให้ใส่ atom.xml ที่ช่อง Text ดังรูปที่ 4 

รูปที่ 4 แสดง PopUp ให้ใส่ชื่อ atom.xml

ขั้นตอนที่ 5. ให้ คลิกปุ่มทดสอบ ก่อนเพื่อตรวจสอบ แต่ถ้าไม่มี Error อะไรให้ คลิกปุ่มส่ง ได้ทันที

หลังจากคลิกส่งแล้วสามารถคลิก "การรวบรวมข้ออมูล" >> "แผนผังไซต์" ที่จอด้านขวาจะแสดงรายละเอียดบทความภายใน Blog ทันที

เพียงแค่นี้ Blog ของคุณจะมี Sitemap แบบของ XML ให้ Search Engine เก็บข้อมูลแล้ว
Share:

9 ขั้นตอนในการสร้างหน้าติดต่อ (Contact Form) ภายใน Blogger สำหรับผู้เริ่มต้น

ปกติการสร้าง Contact Form ใน Blogger มันต้องเข้าไปเพิ่ม Gadget ใน Template ซึ่งถ้าทำแบบนี้ Contact Form ของเรา จะเป็นพื้นที่ส่วนเล็กที่เพิ่มใน Template ของ Blog เราเท่านั้น ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 แสดงตัวอย่าง Contact Form ที่ Blogger มีให้ 
แต่ถ้าคุณต้องการทำหน้า Contact Form แยกออกมาเป็นหน้า Contact Us ละ (ไม่ งง กันใช่ไหม 👌👌👌หมายถึง คุณสามารถคลิกเมนู Contact Us แล้วจะเปิดหน้าที่มีรายละเอียดของ ชื่อ อีเมล์ และข้อความ ให้กรอก) ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงตัวอย่างการสร้างหน้า Contact Form ใน Blogger

บทความนี้ จะอธิบาย 9 ขั้นตอนการสร้างหน้า Contact Form ใน Blogger 
โดยทั้ง 9 ขั้นตอนนี้ จะต้องดำเนินการกับ 3 เมนู ดังนี้
1. "Layout" หรือ "รูปแบบ"
2. "Template" หรือ "ธีม"
3. "Page" หรือ "หน้าเว็บ"


วิธีการเพิ่มฟังค์ชั่น Contact Form ใน Blogger 
ขั้นตอนที่ 1. ไปที่หน้า Dashboard
ขั้นตอนที่ 2. เลือกเมนู "Layout" หรือ "รูปแบบ" ที่ด้านซ้าย
ขั้นตอนที่ 3. คลิกที่ "เพิ่ม Gadget" ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3 แสดงหน้าจอการเพิ่ม Contact Form

ขั้นตอนที่ 4. จะเกิด PopUp ขึ้นมา ให้เลือก "More Gadget >> Contact Form" หรือ "แกดเจ็ด >> ฟอร์มรายชื่อติดต่อ" ดังรูปที่ 4
รูปที่ 4 แสดงหน้าจอเพื่อเลือก Contact Form
ขั้นตอนที่ 5.  เลือกเมนู "Template" หรือ "ธีม" ที่ด้านซ้าย แล้วคลิกปุ่ม HTML เพื่อแก้ไขโค้ด

ขั้นตอนที่ 6.  ค้นหาคำว่า "ContactForm" จะเจอ Code ด้านล่างนี้ ก็ให้ Hi-Light ข้อความระหว่าง Code ทั้งสองข้างบนนี้ 
<b:widget id='ContactForm1' locked='false' title='Contact Form' type='ContactForm'>
...
<b:includable id='main'>

ขั้นตอนที่ 7.  ให้เลือกข้อความส่วนสีส้ม แล้วตัดข้อความสีส้มทั้งหมดไปว่างในหน้าติดต่อ (Contact us) ที่สร้างไว้
<b:includable id='main'>
  <b:if cond='data:title != &quot;&quot;'>
    <h2 class='title'><data:title/></h2>
  </b:if>
  <div class='contact-form-widget'>
    <div class='form'>
      <form name='contact-form'>
        <p/>
        <data:contactFormNameMsg/>
        <br/>
        <input class='contact-form-name' expr:id='data:widget.instanceId + &quot;_contact-form-name&quot;' name='name' size='30' type='text' value=''/>
        <p/>
        <data:contactFormEmailMsg/> <span style='font-weight: bolder;'>*</span>
        <br/>
        <input class='contact-form-email' expr:id='data:widget.instanceId + &quot;_contact-form-email&quot;' name='email' size='30' type='text' value=''/>
        <p/>
        <data:contactFormMessageMsg/> <span style='font-weight: bolder;'>*</span>
        <br/>
        <textarea class='contact-form-email-message' cols='25' expr:id='data:widget.instanceId + &quot;_contact-form-email-message&quot;' name='email-message' rows='5'/>
        <p/>
        <input class='contact-form-button contact-form-button-submit' expr:id='data:widget.instanceId + &quot;_contact-form-submit&quot;' expr:value='data:contactFormSendMsg' type='button'/>
        <p/>
        <div style='text-align: center; max-width: 222px; width: 100%'>
          <p class='contact-form-error-message' expr:id='data:widget.instanceId + &quot;_contact-form-error-message&quot;'/>
          <p class='contact-form-success-message' expr:id='data:widget.instanceId + &quot;_contact-form-success-message&quot;'/>
        </div>
      </form>
    </div>
  </div>
  <b:include name='quickedit'/>
</b:includable>

ขั้นตอนที่ 8: ค้นหาคำว่า ]]></b:skin> และคัดลอก Code ด้านล่างนี้ ไปวางที่ด้านบน

/*CUSTOM CONTACT FORM BY ICANBUILDABLOG.COM */
.contact-form-widget {
margin-left:auto;
margin-right:auto;
width: 600px;
max-width: 100%;
padding: 0px;
color: #000;
}
.fm_name, .fm_email {
float:left;
padding:5px;
width:48%
}
.fm_message {
padding:5px;
}
.contact-form-name, .contact-form-email {
width: 100%;
max-width: 100%;
margin-bottom: 10px;
height:40px;
padding:10px;
font-size:16px;
}
.contact-form-email-message {
width:100%;
max-width: 100%;
height:100px;
margin-bottom:10px;
padding:10px;
font-size:16px;
}
.contact-form-button-submit {
border-color: #C1C1C1;
background: #E3E3E3;
color: #585858;
width: 20%;
max-width: 20%;
margin-bottom: 10px;
height:30px;
font-size:16px;
}
.contact-form-button-submit:hover{
background: #ffffff;
color: #000000;
border: 1px solid #FAFAFA;
}

ขั้นตอนที่ 9: เลือกเมนู "Page" หรือ "หน้าเว็บ" ที่ด้านซ้าย และสร้างหน้าเว็บใหม่ ด้วยการคลิกปุ่ม "หน้าเว็บใหม่" และคัดลอก Code ในขั้นตอนที่ 7 ไปวางในหน้าเว็บที่สร้างมาใหม่เมื่อสักครู่ และกด Save

คุณจะได้หน้าติดต่อเรียบร้อย


😥😥😥😥😥

ปล. แต่ใน Blog นี้เรามีการปรับหน้าติดต่อเรานิดหน่อย ถ้าอยากได้รูปแบบเดียวกับเรา ให้เปลี่ยน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 7 ทำการลบ Code ทิ้งไป 
ขั้นตอนที่ 8 ทำการลบ Code ทิ้งไป
ขั้นตอนที่ 9 วาง Code ด้านล่างนี้
<div dir="ltr" style="text-align: left;" trbidi="on">
<br />
<br />
<style>
.twist_blogger_cntct_form_wrap {
  margin: 0 auto;
  max-width: 840px;
  padding: 0 10px;
  position: relative;
  background-color: #FDFDFD;
}
.twist_blogger_cntct_form_wrap:after, .twist_blogger_cntct_form_wrap:before {
  content: '';
  display: table;
  clear: both;
}
/*----Change Contact Form Background Color Here----*/
div#twist_blogger_cntct_form {
  padding: 30px 30px 20px 30px;
  background: #AA999B;
  border-radius: 3px;
  margin: 30px auto 30px;
  color: #FFF;
  font-size: 16px;
  max-width: 400px;
}
input#ContactForm1_contact-form-name, .contact-form-email, .contact-form-email:hover, .contact-form-email:active, .contact-form-email-message, .contact-form-email-message:active, .contact-form-email-message:hover {
  padding: 5px;
  box-shadow: none!Important;
  min-width: 200px;
  max-width: 400px;
  width: 100%;
  border: 0 !important;
  line-height: 1em;
  min-height: 31px;
  background: #FCFCFC;
  margin-bottom: 15px;
}
/**** Submit button style ****/
.contact-form-button-submit {
  background: #AA999A;
  font-size: 20px;
  letter-spacing: 2px;
  cursor: pointer;
  outline: none!important;
  color: #FFFFFF;
  border: 2px solid rgba(255,255,255,1);
  border-radius: 50px;
  min-width: 200px;
  max-width: 400px;
  width: 100%;
  text-transform: uppercase;
  height: 46px;
  margin-top: 10px!important;
  transition: all 300ms ease-;
  -webkit-transition: all 300ms ease-in-out;
  -moz-transition: all 300ms ease-in-out;
}
/**** Submit button on mouse hover ****/
.contact-form-button-submit:hover {
  border: 2px solid;
  color: #FFFFFF;
  background: #EF4800 !important;
}
/**** Submit button on Focus ****/
.contact-form-button-submit:focus, .contact-form-button-submit.focus {
  border-color: #FFFFFF;
  box-shadow: none !important;
}
/**** Error message and Success Message ****/
.contact-form-error-message-with-border .contact-form-success-message {
  background: #f9edbe;
  border: 1px solid #f0c36d;
  bottom: 0;
  box-shadow: 0 2px 4px rgba(0,0,0,.2);
  color: #666;
  font-size: 12px;
  font-weight: bold;
  padding-bottom: 10px;
  line-height: 19px;
  margin-left: 0;
  opacity: 1;
  position: static;
  text-align: center;
}
</style>

<br />
<div class="twist_blogger_cntct_form_wrap">
<div id="twist_blogger_cntct_form">
<form name="contact-form">
Your Name<br />
<input class="contact-form-name" id="ContactForm1_contact-form-name" name="name" placeholder="Enter your name here..." size="30" type="text" value="" /><br />
<br />
Your Email*<br />
<input class="contact-form-email" id="ContactForm1_contact-form-email" name="email" placeholder="Enter your email here..." size="30" type="text" value="" /><br />
<br />
Your Message*<br />
<textarea class="contact-form-email-message" cols="25" id="ContactForm1_contact-form-email-message" name="email-message" placeholder="Write your message here..." rows="5"></textarea><br />
<input class="contact-form-button contact-form-button-submit" id="ContactForm1_contact-form-submit" type="button" value="Send" /><br />
<div style="max-width: 400px; text-align: center; width: 100%;">
<div class="contact-form-error-message" id="ContactForm1_contact-form-error-message">
</div>
<div class="contact-form-success-message" id="ContactForm1_contact-form-success-message">
</div>
</div>
</form>
<br /></div>
</div>
</div>


Share:

การสร้างรูปแบบของ Blogger ให้สวยเพียง 1 นาที

หลายคนปวดหัวกับการออกแบบหน้า Blogger ให้สวย ดูดี มี Style ต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งพอจะมาตกมาแต่ง Blog ให้สวยแบบที่ฝันไว้ ก็มักจะเจอปัญหาปวดหัวกับ Code หรือ Technic ต่างๆ แล้วก็ไม่ได้แบบที่ต้องการ

วันนี้เรามีวิธีการง่ายกว่านั้น มานำเสนอ เพียงคุณเข้าไปค้นหารูปแบบ Template ที่ตัวคุณถูกใจ แล้วค่อยมาปรับแต่งข้อมูลภายใน Blog ให้เป็นเนื้อหาที่คุณต้องการนำเผยแพร่

แล้วรูปแบบ Template ที่ว่าต้องไป Download จากไหนละ ?

เว็บที่ 1: Templatelib (https://templatelib.com/)

เว็บที่ 2: gooyaabitemplates (https://gooyaabitemplates.com/)

เว็บที่ 3: 100+ Best Free Responsive Blogger Templates 2017 (https://cssauthor.com/responsive-blogger-templates/)

เว็บที่ 4: btemplates (https://btemplates.com)

เว็บที่ 5: mybloggerthemes (http://www.mybloggerthemes.com/)

นี่เป็นตัวอย่าง 5 เว็บที่รวม Free Template สำหรับ Blogger เพื่อให้คุณๆเข้าไปเลือกแบบที่ชื่นชอบได้อย่างจุใจกันไปเลย

เมื่อคุณเลือก Template ที่ชอบ ก็สามารถทำการ Download Template นั้นมาเก็บไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน ซึ่งไฟล์ที่ได้จะเป็นไฟล์ Zip ให้คุณคลิกขวาที่ไฟล์ >> เลือก Extract Here

ขั้นตอกการนำ Template ที่เก็บใน Blogger 
1. เข้าไปที่ Dashboard
2. เลือกเมนู "Template" หรือ "ธีม"
3. คลิกที่ปุ่ม "Backup/Restore" หรือ "สำรอง/กู้คืน" ดังรูปที่ 1
UploadTemplate
รูปที่ 1 แสดงหน้าจอ Dashboard โดยเลือก Template >> Backup/Restore
4. Blogger จะแสดง Popup ขึ้นมา ดังรูปที่ 2
รูปที่ 2 แสดงหน้าจอ PopUp เพื่อให้สามารถ Upload Template เข้าไปใน Blog ได้
5. คลิกปุ่ม Choose File เลือกไฟล์ .XML ใน Folder ที่คุณได้ทำ Extract ไว้ก่อนหน้านี้
6. คลิกปุ่ม Upload

เพียงแค่นี้ คุณก็จะได้ Template Blogger ที่สวยๆ เพียง 1 นาที ซึ่งสามารถปรับแต่ง Template ได้เพิ่มเติมอีกด้วย
Share:

ความรู้อะไรที่เป็นพื้นฐานในการใช้ Excel

ปัจจุบันมักมีหลายหน่วยงานที่กล่าวถึงความสามารถของ Excel ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคพื้นฐาน (ฺBasic Technical) หรือ เทคนิคขั้นสูง (Advanced Technical) ก็เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ในการทำงานนั้นเอง ซึ่งถ้าคุณหวังจะใช้โปรแกรมนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ก็ควรจะเริ่มต้นศึกษาเทคนิคพื้นฐานก่อน

แล้วอะไรบ้างที่เป็นความรู้พื้นฐานของโปรแกรม (ไม่แน่ว่า...เพียงคุณเข้าใจเรื่องพื้นๆ เหล่านี้แล้ว ก็อาจจะเพียงพอสำหรับงานที่คุณกำลังรับผิดชอบก็เป็นได้)
  • องค์ประกอบของโปรแกรม Excel  
  • การคำนวณผลรวม และสูตรการคำนวณ 
  • การระบุข้อมูลและรูปแบบของข้อมูล 
  • การเน้นข้อมูลให้ตรงกับเงื่อนไข
  • การสร้างรายงานและแผนภูมิแบบง่ายๆ 
  • การทำความเข้าใจ Keyboard Shortcuts และ Productivity Tricks 

องค์ประกอบของโปรแกรม Excel
          เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงเครื่องมือส่วนต่างๆ ภายในโปรแกรมได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ควรทำความเข้าใจองค์ประกอบของโปรแกรมก่อน ซึ่งหากเปิดโปรแกรมขึ้นมา คุณจะพบองค์ประกอบอยู่ 5 ส่วน ดังรูปที่ 1 คือ
Excel
รูปที่ 1 แสดงองค์ประกอบของหน้าจอโปรแกรม Excel
1. Quick Access Toolbar เป็นส่วนที่คุณสามารถวางเครื่องมือต่างๆ ที่ต้องเรียกใช้บ่อยๆ ได้ โดยโปรแกรมจะกำหนด Icon พื้นฐานไว้ 3 Icon คือ Save, Undo, Redo
2. Ribbon เป็นส่วนที่ใช้แสดงรายการคำสั่งต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงานกับเอกสาร
3. Formula Bar เป็นส่วนที่ใช้แสดงการใช้งานสูตรการคำนวณต่าง ๆ
4. Spreadsheet Grid เป็นส่วนที่ใช้ในการแสดงรายละเอียดต่าง ๆ ขั้นภายในเอกสาร
5. Status bar เป็นส่วนที่ใช้แสดงจำนวนหน้ากระดาษ และจำนวนตัวอักษรที่ใช้ในเอกสาร


การคำนวณผลรวม และสูตรการคำนวณ
          เรื่องนี้คงหนี้ไม่พ้น เพราะโปรแกรม Excel เกิดมาเพื่อช่วยคุณคำนวนสูตรต่างๆ เพื่อช่วยคุณทำการคำนวณได้อย่างง่าย โดยโปรแกรมจะแบ่งฟังค์ชั่นต่างๆ ออกเป็น
          Financial Function เป็นฟังค์ชั่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโปรแกรมก็ว่าได้ เพราะว่าโปรแกรมได้จัดเตรียมสูตรในการคำนวณด้านการเงินที่หลากหลาย เช่น การคำนวณผลผลิต การประเมินมูลค่าการลงทุน การคำนวณอัตราดอกเบี้ย การหาอัตราผลตอบแทน การหาค่าเสื่อมของสินทรัพย์ เป็นต้น
          Logical Function เป็นฟังค์ชั่นที่ช่วยให้คุณสามารถใส่เงื่อนไขในการตัดสินใจให้กับสูตรของคุณ ซึ่งมันจะประกอบไปด้วย ฺBoolean operators (AND OR XOR NOT) และ Conditional tests (IF IFERROR IFNA IFS SWITCH)
          Text Function เป็นฟังค์ชั่นที่ช่วยในการแปลงข้อความให้เป็นรูปแบบที่คุณกำหนดไว้
          Date & Time Function เป็นฟังค์ชั่นที่ช่วยในการแปลง ตัวเลขที่เก็บวันเวลาในโปรแกรม ให้อยู่ในรูปแบบของวันที่ เวลา ที่คุณๆ คุ้นเคย
          Lookup & Reference เป็นฟังค์ชั่นที่บอกให้โปรแกรม ส่งค่ากลับออกมาเป็นแถวหรือคอลัมน์ ซึ่งคล้ายกับฟังค์ชั่นการค้นหา เช่น VLOOKUP, HLOOKUP (พบใน Excel 2010 และ 2013 ข้ึนไป)
          Math & Trig เป็นฟังค์ชั่นที่ใช่ในการคำนวณสูตรคณิตศาสตร์ (mathematical calculations) เช่น เลขคณิตแบบพื้นฐาน (basic arithmetic) เงื่อนไขในการรวมค่า เลขยกกำลัง (exponents & logarithms) อัตราส่วนตรีโกมิติ (trigonometric ratios)
          Statistical Function เป็นฟังค์ชั่นในการคำนวณค่าสถิติต่างๆ
          Engineering Function เป็นฟังค์ชั่นในงานด้านวิศวกรรมศาตร์
          Cube Function เป็นฟังค์ชั่นที่เริ่มต้นใช้ใน Microsoft Excel 2007 มันจะถูกใช้ในการเชื่อมต่อกับ SQL หรือเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่ง Data Cube เป็นชุดข้อมูลหลายมิติซึ่งสามารถเก็บไว้ใน Excel ที่มีสามารถเก็บใน spreadsheet เพื่อใช้ในการสรุปข้อมูลได้สบายๆ
          Information Function เป็นฟังค์ชันในการจัดการรูปแบบและตำแหน่งของเซลล์ เช่น การจัดการข้อมูลที่ผิดพลาด ตัวเลข เป็นต้น
          Compatibility Function เป็นฟังค์ชั่นใหม่ที่มีใน Excel 2010 ขึ้นไป เช่น Statistical functions (reference) และ Math and trigonometry functions (reference)
          Web Function เป็นฟังค์ชั่นที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลจากสื่อออนไลน์ภายนอก (online resources) เข้ามาเก็บใน Excel
          แล้วฟังค์ชั่นอะไรบ้างที่คุณควรรู้เพื่อเป็นพื้นฐานบ้างละ

การระบุข้อมูลและรูปแบบของข้อมูล (Handling Data)
          การที่คุณเรียนรู้วิธีการใส่ข้อมูลและจัดการรูปแบบของข้อมูล ก็เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว เช่น การคัดลอกข้อมูล (Copy) การวาง (Paste) การค้นหา (Find) คำสั่ง Go To เป็นต้น

การเน้นข้อมูลให้ตรงกับเงื่อนไข (Conditional formatting)
         เป็นคุณลักษณะที่โดดเด่นจากโปรแกรมอื่นๆ เพราะมันช่วยให้คุณสามารถเน้นข้อมูลที่ต้องการเป็นรูปแบบต่างๆ ตามเงื่อนไขที่คุณกำหนดได้ เช่น ทำการเน้น (hilight) รายชื่อลูกค้าที่มียอดสั่งซื้อสูงสุด 10 คนแรก หรือ เน้นรายชื่อพนักงานที่มีประสิทธิภาพการทำงานต่ำ เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถรวมหลายเงื่อนไขด้วย Conditional formatting เพื่อเน้นข้อมูลได้ตรงตามเงื่อนไขมาก

การสร้างรายงานและแผนภูมิแบบง่ายๆ
          เมื่อโปรแกรมถูกสร้างมาเพื่อจัดการข้อมูลจำนวนมากๆ โปรแกรมก็ควรจะต้องมีคุณลักษณะที่ช่วยให้นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจได้อย่างง่ายเช่นกัน ซึ่งขั้นตอนนี้หลายคนตกม้าตาย เมื่อพบว่าตัวเองต้องใช้เวลาในการสร้าง Graph หรือ Report เสียนาน

ารทำความเข้าใจ Keyboard Shortcuts และ Productivity Tricks
          หัวข้อนี้มักจะถูกหลายคนละเลย แต่คุณลองนึกถึงคนที่เชี่ยวชาญไม่ว่าจะอาชีพอะไร พวกเขาก็จะมีเทคนิกลูกเล่นต่างๆ เพื่อช่วยในการทำงานของพวกเขาทั้งนั้น แล้วถ้าคุณจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในโปรแกรมนี้ ความเข้าใจพื้นฐานแบบนี้ทำไมจะต้องโยนทิ้งไปซะละ

Reference
http://chandoo.org/wp/excel-basics/
http://www.excelfunctions.net/Excel-Logical-Functions.html
http://library.albany.edu/subject/tutorials/education/boolean.html
https://www.ablebits.com/office-addins-blog/2017/01/11/excel-text-function-formula-examples/
https://www.thoughtco.com/description-of-text-string-3124029
https://www.techonthenet.com/excel/formulas/text.php
http://www.excelfunctions.net/Excel-Date-And-Time-Functions.html
https://www.exceltip.com/tips/lookup-and-reference-function.html
https://www.microsoftpressstore.com/articles/article.aspx?p=2224376
http://www.excelfunctions.net/Excel-Information-Functions.html
https://blogs.office.com/en-us/2013/03/21/use-webservice-functions-to-automatically-update-excel-2013-spreadsheets-with-online-data/
Share:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Popular Posts

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Dashboards คืออะไร มีกี่ประเภท

Dashboards คืออะไร และสามารถช่วยเราในการทำงานอย่างไร Dashboards คือ การนำข้อมูลมาสร้างรายงานที่เป็นภาพรวมทางธุรกิจ ให้ผู้บริหารสามารถ...

Recent Posts

Keywords

เอ็กเซล Data-Management Functions การจัดการข้อมูลในเอ็กเซล Blogger Basic-Excel Create-Blogger การจัดการข้อมูล Excel Conditional Formatting excel Data-Analysis Drop down list Excel สูตร Computer knowledge Feed RSS Atom คือ อะไร Index Match function excel SEO Search Console Search engine chart excel คือ excel data validate paste option Excel vlookup approximate Match exact Match vlookup function excel การใช้ concatenate ใน excel สร้าง drop down list สร้าง กราฟ เอ็กเซล Advance Filter Auto Filter by Color Auto Filter by Text Content Syndication DATEDIF() Datedif Function Excel SUM Function Excel SUMIF Function Excel SUMIFS Function Formula Values Transpose Formatting Function excel Gantt Chart excel Gantt Chart excel ทำยังไง HLOOKUP Icon Set Index Match function คือ Knowledge Line Chart Scatter Chart LogicFunction Match function excel Name Manager Paste Special Pie Doughnut chart excel Robots Header Tag Sumproduct function การใช้ สูตร เอ็กเซล Template Text Function Excel Trim Clear Function Excel Values column chart excel condition countif excel count if excel 2010 countifs data validation excel countifs เงื่อนไข ตัวอักษร มากกว่า น้อยกว่า excel index match formula excel match function reference cell excel sort and filter excel เบืื้องต้น excel เบื้องต้น flash fill excel คือ flash fill คือ อะไร function คือ highlight in dropdownlist index excel match vlookup index match ใช้ยังไง lookup excel กราฟ แผนภูมิ Excel การ เรียง ข้อมูล excel การ เรียง ลําดับ ข้อมูล excel การกรองข้อมูล Excel การตัดข้อความ เอ็กเซล การทํา chart excel การทําcontrol chart excel การสร้าง ตาราง กราฟ excel การสร้าง chart excel การสร้างฟีต การหาผลรวมในเอ็กเซล การเผยแพร่เนื้ือหา การเพิ่ม Subscription ให้ Blogger การแยก ข้อความ การใช้ if การใช้ index match excel การใช้งาน Subtotal outline excel การใช้ฟังก์ชั่น concatenate การใช้แผนภูมิ chart excel ค้นหาข้อมูล เอ็กเซล ค้นหาเลขคอลัมน์ ค้นหาเลขแถว เอ็กเซล ตัดช่องวางในเอ็กเซล ผูกเว็บกับ Google Analytics ฟังก์ชั่น Text การใช้ วิธีการตัดข้อความใน Excel วิธีทำ แผนภูมิ วงกลม Excel สูตร COUNTIF สูตรexcel concatenate สูตรการหาผลรวมใน Excel หาผลต่างระหว่างเดือน เพิ่มรายการใน Data Validation แผนภูมิ คอลัมน์ excel แผนภูมิคอลัมน์ เรียงซ้อน ใส่สีให้ dropdownlist